ราคาทองคำโลกผันผวนอย่างหนัก นับตั้งแต่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าทองและนักวิเคราะห์ฯ ยังมองว่าราคาทองคำมีโอกาสไปต่อ และมองว่าการย่อตัวลงครั้งนี้ เป็นจังหวะในการเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว โดยมองว่าราคาทองคำ มีโอกาสแตะที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในปี 2568
ล่าสุด ณ เวลา 11:10 น. ราคาทองคำโลก (Gold Spot) ปรับลดแตะที่ระดับ 2,560 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนราคาทองคำไทยปรับลดลง 3 ครั้ง รวมลดลง 400 บาท ส่งผลให้ ทองคำแท่งรับซื้อ 42,350 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 42,450 บาทต่อบาททองคำ
จิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ราคาทองคำแกว่งตัวและผันผวนอย่างมาก หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีกระแสข่าวรุนแรงเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่ชัดเจนอยู่
ทั้งนี้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ รอบก่อนหน้านี้ โดยจะเห็นได้ว่าราคาทองคำในระยะสั้น ผันผวนและปรับตัวลดลงอยู่ในช่วงประมาณ 200-250 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างมีการย้ายเม็ดเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ทำให้ทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยนั้น ถูกกดลงมาเยอะ ซึ่งยังต้องติดตามนโยบายสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจน 20 มกราคม 2568
นอกจากนี้ ยังมองว่ามี “กองทุน” บางแห่งที่พยายามสร้างกระแสข่าวเพื่อ “ปั่น” ราคาทองคำ โดยแนะนำนักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า โดยเฉพาะทองคำ Gold spot
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมเชื่อว่าราคาทองคำช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จะปรับตัวขึ้นได้ และต่อเนื่องไปยังปี 2568 ที่เชื่อว่าจะมีโอกาสแตะที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนทิศทางราคาทองคำในประเทศ ยังคาดการณ์ได้ลำบาก โดยต้องติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด จากปัจจุบันอ่อนค่าลงมาแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
จิตติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนระยะยาว และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ โดยแนะนำให้ซื้อเป็น “ทองคำจริง” มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ยังมีความผันผวนอยู่
พร้อมเตือนนักลงทุนที่ใช้ “มาร์จิ้น” หรือการวางมัดจำเพื่อลงทุนทองคำว่ามีความเสี่ยงและอันตรายมากในช่วงนี้ ซึ่งควรจ่ายเงินเต็มจำนวนเพื่อการลงทุนในระยะยาวมากกว่า
ด้าน ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ในช่วงนี้ราคาทองคำถือว่ามีแนวโน้ม “ขาลง” หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา หากพรรคริพับลิกันชนะการเลือกตั้ง ราคาทองคำจะปรับลดลงเฉลี่ย 4.5% ในช่วง 60 วันหลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำโลกไว้ที่ 2,500-2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ และปี 2568 มีโอกาสแตะที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยยังต้องติดตาม 4 ประเด็นหลัก ที่มีผลต่อทิศทางราคาทองคำในอนาคต ได้แก่
ส่วนแนวโน้มราคาทองในประเทศ ยังต้องติดตามประเด็นด้านอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ราคาทองคำจะอยู่ในกรอบ 42,000-44,000 บาทต่อบาททองคำ จากเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าแตะ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม “ทองคำ” ยังถือเป็นสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวได้อยู่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสงคราม ดังนั้น แนะนำนักลงทุนให้ทยอยเข้าซื้อลงทุน โดยให้แนวรับที่ระดับ 2,365-2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ และพิจารณาการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วย
อ่านข่าวการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้