ทองคำบาทละ 45,000 บาท เห็นแน่! จับตา 3 ปัจจัย ดันราคาพุ่งไม่หยุด ผู้ค้าทอง แนะกลยุทธ์เข้าทำกำไร

Investment

Gold

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทองคำบาทละ 45,000 บาท เห็นแน่! จับตา 3 ปัจจัย ดันราคาพุ่งไม่หยุด ผู้ค้าทอง แนะกลยุทธ์เข้าทำกำไร

Date Time: 22 ต.ค. 2567 12:13 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • ผู้ค้าทองและนักวิเคราะห์ ต่างมองว่าราคาทองคำอาจยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ และมีโอกาสถึง 45,000 บาท โดยยังต้องติดตามนโยบายการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ และอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต

Latest


หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ นักลงทุนต่างให้ความสนใจและจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โลกยังคงเผชิญกับความท้าทาย ส่งผลให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่หลายคนมองว่าเหมาะแก่การลงทุนในช่วงเวลานี้

ล่าสุดราคาทองคำวันนี้ ปรับตัวขึ้น 50 บาท (ครั้งที่ 2) ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ณ เวลา 10.04 น. ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 43,200 บาท ขายออกบาทละ 43,300 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 42,417.68 บาท ขายออกบาทละ 43,800 บาท

อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าทองและนักวิเคราะห์ ต่างมองว่าราคาทองคำอาจยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ และมีโอกาสถึง 45,000 บาทภายในปี 2568 โดยยังต้องติดตามนโยบายการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ และอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต


จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากจนทำสถิติใหม่สูงสุด (New High) ส่วนหนึ่งเกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่มีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับธนาคารในหลายประเทศทั้งสหรัฐ ยุโรป จีน รวมถึงไทยก็มีการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย

ส่วนแนวโน้มราคาทองคำในอนาคตจะเป็นอย่างไร และจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 45,000 บาทต่อบาททองคำได้หรือไม่นั้น ยังคงต้องติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วง 7 เดือนข้างหน้า และติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพื่อดูนโยบายด้านการเงินและเศรษฐกิจว่าจะมีทิศทางอย่างไร ซึ่งหากมีการปรับลดดอกเบี้ยอีก เชื่อว่าราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำในช่วงนี้ แนะนำว่าให้รอดูความชัดเจนของการประชุมของกลุ่มบริกส์ (BRICS) และทิศทางราคาในอีก 2-3 วันข้างหน้า เนื่องจากราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นมามากแล้ว อาจมีการปรับฐานบ้าง แต่หากสามารถปรับตัวขึ้นผ่านแนวต้านถัดไป ก็เชื่อว่าราคามีโอกาสไปต่อได้


ด้าน ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ให้มุมมองว่า ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำโลกและราคาทองคำไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่สูงสุด โดยปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงสงครามตัวแทน ประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ และการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ

พร้อมกันนี้ อีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคาทองให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ให้น้ำหนักกับการประชุมของกลุ่มบริกส์ (BRICS) ในช่วง 3 วันนี้ นำโดยรัสเซีย บราซิล อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับชาติตะวันตกด้านการเมืองและการค้าโลกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ เบื้องต้นประเมินเป้าหมายราคาทองคำโลกปีนี้ที่ระดับ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำไทยคาดอยู่ที่ 43,500 บาทต่อบาททองคำ แต่อาจมีจังหวะการย่อตัว เนื่องจากปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ดังนั้น นักลงทุนจะต้องใช้ความระมัดระวัง

ทั้งนี้ ราคาทองคำไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 45,000-46,000 บาทต่อบาททองคำ ในช่วงสิ้นปี 2568 บนสมมติฐานการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า และค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน

สำหรับคำแนะนำการลงทุนนั้น ศิริลักษณ์ กล่าวว่า หากนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในพอร์ตก็สามารถถือต่อได้ แต่ถ้าใครยังไม่มีและต้องการเข้าลงทุน มองว่าถ้าไปไล่ซื้อในระดับราคานี้ถือว่าแพง ให้รอจังหวะราคาย่อตัวที่แนวรับบริเวณ 2,685-2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราคาทองคำไทยราว 43,000 บาทต่อบาททองคำ เป็นจังหวะการเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวได้

นอกจากนี้ แนะนำนักลงทุนให้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ อย่าง USD Futures หรือการซื้อกองทุนรวมทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสอดคล้องไปกับราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น


ด้านนักวิเคราะห์ บริษัท ออสสิริส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า ทองคำทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ และราคาทองคำปิดบวกในวันจันทร์ (21 ต.ค.) โดยตลาดยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

ทั้งนี้ หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดจากบริษัท RJO Futures กล่าวว่า ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะโจมตีอิหร่านเพื่อเป็นการล้างแค้นนั้น ยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

แต่ราคาทองคำลดช่วงบวก เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันตลาดในระหว่างวัน ด้านเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุนจากทั้งมุมมองของผู้เล่นในตลาด ที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคม

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำวันนี้ อยู่ที่ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ เกี่ยวกับนโยบายการเงินในเดือนพฤศจิกายน โดยภาพรวมมีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ