เฟดลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ดันทองคำโลกพุ่งทำนิวไฮสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กดเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า สวนทางเงินบาทแข็งค่าในรอบ 19 เดือน ขณะที่หุ้นไทยพุ่ง 19 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 18 ก.ย.67 ที่ผ่านมา ได้มีมติ 11:1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% สู่ระดับ 5.0% ถือเป็นการลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกรอบ 4 ปี และเฟดยังส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในระยะยาวอีก 0.5% ในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ หรือปลายปี 67 โดยดอกเบี้ยจะลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5% ส่วนปีหน้ามีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1.0% หรือปลายปี 68 ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 3.5%
ทั้งนี้ ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งนี้ ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลก Gold Spot ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 2,600.16 ดอลลาร์/ ออนซ์ ก่อนลงมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 2,550 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำประเมินว่าช่วงที่เหลือปีนี้มีโอกาส ที่ราคาทองโลกจะยืนเหนือ 2,600 ดอลลาร์/ออนซ์ และคาดว่าไตรมาส 4 ปี 67 อาจเห็นราคาขึ้นไปที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการประชุมเฟดล่าสุดยังส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในระยะยาวอีก 0.5% ปีนี้ และจะลดต่อเนื่องไปถึงปีหน้าอีก 1%
อย่างไรก็ตาม ราคาทองไทยวันที่ 19 ก.ย. ยังทรงตัว โดยราคาทองคำแท่งอยู่ที่ราว 40,500 บาท เป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาทองคำในประเทศไม่ได้ทำนิวไฮเหมือนราคาทองโลก แต่หากสิ้นปีนี้ราคาทองโลกแตะ 2,700 ดอลลาร์/ออนซ์ ยังมีโอกาสเห็นทองไทยขึ้นไปยืนเหนือจุดสูงสุดเดิมที่ 42,150 บาท “ราคาทองโลกยังแกว่งขึ้นได้อีก จากการทยอยลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่วนราคาทองไทยที่ไม่ได้ปรับขึ้นมากตาม เพราะติดที่ค่าเงินบาทแข็งค่ากดดัน แต่ทิศทางราคาทองยังไปต่อได้ จึงแนะเก็งกำไรฝั่งขาขึ้น”
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าต่อเนื่อง ล่าสุด ณ เวลา 18.36 น. วันที่ 19 ก.ย.67 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.08 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 19 เดือน หรือตั้งแต่เดือน ก.พ.66 โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.05-33.52 บาท/ ดอลลาร์ ด้านตลาดหุ้นไทยวันที่ 19 ก.ย.67 ปิดตลาดดัชนีปรับขึ้น 19.07 จุด มาที่ 1,454.84 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 67,668.10 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,037.71 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หลังเฟดลดดอกเบี้ย 0.50% ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ ทำให้ FUND FLOW มีโอกาสย้ายจากตลาดหุ้นสหรัฐฯไปตลาดหุ้นอื่นรวมถึงตลาดหุ้นไทย จากการที่สหรัฐฯจะเร่งลดดอกเบี้ยเร็วกว่าไทยช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น ทำให้ต่างชาติที่ลงทุนหุ้นไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่ม ด้านปัจจัยพื้นฐาน GDP GROWTH ไทยช่วงครึ่งหลังปี 67 มีโอกาสเติบโตเด่น 4.1% สูงกว่าสหรัฐฯ ที่ BLOOMBERG คาด GDP GROWTH ครึ่งหลังปี 67 จะโตเพียง 2.1% และกำไรบริษัทจดทะเบียน EPS GROWTH ไทยปี 67 คาดจะเติบโตได้ 13% สูงกว่าคาดการณ์ EPS GROWTH สหรัฐฯอยู่ที่ 8%.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่