นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า พบว่ามีประชาชนและนักลงทุนได้มีการมาซื้อทองรูปพรรณในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาทองลดลง แต่กลับปรากฏว่ากลุ่มบริษัทห้างร้านเอกชนมีการซื้อทองคำแจกเป็นรางวัลหรือโบนัสให้พนักงานในปริมาณที่ลดลงกว่าปีก่อน เนื่องจากมีตัวเลือกอื่นๆเข้ามาทดแทนทองคำ เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า เช่น ทริปทัวร์ท่องเที่ยว
ทั้งนี้ นายจิตติได้ประเมินกรอบราคาทองคำปี 61 ไว้ที่ 1,150-1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำปีหน้าจะขยับขึ้นหลังค่าเงินดอลล์อ่อนค่าลง เพราะนักลงทุนไม่มั่นใจในสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจภายใต้นโยบายประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนราคาทองไทยปีหน้ามองกรอบไว้ที่ 22,000-18,500 บาท ซึ่งเงินบาทแข็งค่ากดดันราคาทองคำเพียงเล็กน้อย โดยมองกรอบค่าเงินไว้ที่ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังแนะกลยุทธ์การลงทุนทองคำปีหน้าว่า ยังเน้นเก็งกำไรตามปัจจัยระยะสั้น มากกว่าซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาว เพราะปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำยังมีความไม่แน่นอน
“ถึงแม้เงินบาทที่แข็งค่าจะกดดันราคาทองไทย แต่ภาพรวมราคาทองโลกยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะคนไม่เชื่อถือในสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่แน่นอน ช่วยหนุนราคาทองให้ขยับขึ้นได้” นายจิตติกล่าว
ด้านนายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ แถลงดัชนีความเชื่อมั่นทองคำเดือนธันวาคมว่า ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 45.13 จุด แนะเป็นจังหวะเข้าซื้อสะสมที่ราคาต่ำกว่า 1,270 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ โดยมองกรอบราคาทองเดือน ธ.ค.ไว้ที่ 1,221-1,320 ดอลลาร์สหรัฐฯหรือราคา 19,001-20,500 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ ขณะที่ประเมินค่าเงินบาทไว้ที่ 32.21-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ.