ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น กำลังหอมหวานอย่างมาก เมื่อดัชนีราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่หยุด สร้างผลตอบแทนกับนักลงทุนอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งนี้ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามาก และเริ่มมีมูลค่าที่แพง ทำให้ ธนาคารทิสโก้ หนึ่งในผู้ให้บริการด้านการลงทุน ส่งสัญญาณปรับพอร์ต ลดการลงทุนในญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เพื่อหนีความเสี่ยงที่อาจเกิดการปรับฐานในอนาคตอันใกล้
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงเดือนมีนาคม ธนาคารทิสโก้ ยังคงแนะนำให้ลูกค้าเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างกำไรในช่วงดอกเบี้ยพลิกตัวเป็นขาลง คือ กองทุนตราสารหนี้โลก (Global Bond) และกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก (Global REITs) นอกจากนี้ยังให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่ราคายังมีส่วนลด
(Discount) และกำไรยังคงเติบโตดี 2 กลุ่ม คือ 1.กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในกลุ่มตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น (Asia Ex Japan) และ 2.กองทุนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) พร้อมแนะนำให้ลดน้ำหนักหุ้นหรือกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว (Developed markets) ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนื่องจากมูลค่าหุ้นเริ่มตึงตัว ขณะที่หุ้นยุโรปยังมีปัจจัยกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวมากกว่าภูมิภาคอื่น
ในปี 2567 ตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นมีความโดดเด่น ทั้งภาพของเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่ง Bloomberg คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 4.7% ในขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะเติบโตที่ 2.7% และสหรัฐฯ ยุโรป มีแนวโน้มจะเติบโตเพียง 1.6%, 0.9% ตามลำดับ สาเหตุที่ทำให้ประเทศในกลุ่มเอเชียยังคงเติบโตสูง เนื่องจากประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่มีความต้องการสูง อย่าง Semiconductors, Electric vehicles ที่ฝั่งเอเชียมีสัดส่วนราว 60-70% ของการผลิตทั้งโลก
ทั้งนี้ ในแง่ของมูลค่าของตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น พบว่ายังซื้อขายที่ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรอนาคต (Forward PER) ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ โดยราคาหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต มีส่วนลด (Discount) อยู่ราว 12% เมื่อเทียบกับราคาของหุ้นโลก (MSCI ACWI) ในรอบ 10 ปี และเป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด Covid-19 ในปี 2563 แต่คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของหุ้นกลุ่มนี้ในปี 2567 จะเติบโตสูงถึง 19% ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่กำลังทำจุดสูงสุดใหม่ พบว่ามีการซื้อขายที่ระดับราคาสูงกว่า (Premium) ค่าเฉลี่ย เมื่อเทียบกับ MSCI ACWI ถึง 5% และ 15% ตามลำดับ ทำให้โอกาสการปรับขึ้น (Upside) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น เริ่มปรับตัวขึ้นได้จำกัด จึงมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะกระจายการลงทุนมายังตลาดเอเชียที่ยังมี Upside ที่มากกว่า
นายณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ธนาคารทิสโก้ยังแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) เพราะผลประกอบการมักจะไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ เป็นกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความต้องการในการใช้งานอยู่ในระดับสูงและเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ราคายังปรับขึ้นน้อย (Laggard) และซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์มีส่วนลด (Discount) อยู่ราว 10% เมื่อเทียบกับราคาของหุ้นโลก (MSCI ACWI) ในรอบ 10 ปี โดย Bloomberg ประเมินว่า EPS ของดัชนี MSCI World Healthcare ในปี 2567 จะเติบโตได้ถึง 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) สูงกว่าตลาดหุ้นโลกที่เติบโตเพียง 5.5% YoY เท่านั้น
ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตมาจากการพัฒนายาที่รวดเร็วมากกว่าในอดีต ทำให้เห็นยารูปแบบใหม่ที่มีความต้องการของตลาดสูง เช่น ยาลดน้ำหนัก GLP-1, ยารักษามะเร็ง (ADC’s) และยารักษาโรคอัลไซเมอร์ เข้ามาหนุนการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะยาลดน้ำหนัก GLP-1 ที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตกว่า 4 เท่าในช่วงปี 2567-2573 รวมถึงภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นส่งผลให้บริษัทยาขนาดใหญ่จะทำการควบรวมกิจการ (M&A) เพิ่มขึ้นหลังจากที่ชะลอตัวในช่วงปี 2564-2565 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญของการฟื้นตัวราคาหุ้น โดยกลุ่มที่โดดเด่น ได้แก่ กลุ่มยาชีวภาพ (Biotech) ที่มีนวัตกรรมยารักษาโรคออกมาใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นแรงหากได้รับการเข้าซื้อกิจการจากบริษัทขนาดใหญ่ด้วย
ณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในทุกสินทรัพย์ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำ ลูกค้าควรเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก (Active) เพราะผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเพิ่ม หรือลดน้ำหนักหุ้นได้ยืดหยุ่นมากกว่ากองทุนที่เป็นเชิงรับ (Passive) ที่ต้องลงทุนตามน้ำหนักของดัชนีอ้างอิง เพราะในดัชนีอ้างอิงอาจจะมีหุ้นเติบโตต่ำแฝงตัวอยู่ การเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุกจะช่วยหลีกเลี่ยงหุ้นเติบโตต่ำ และไปเพิ่มน้ำหนักหุ้นที่เติบโตได้มากกว่าได้.