ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ต้องทำอะไรบ้าง จะเริ่มยังไง เริ่มจากตรงไหน เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในทุกยุคทุกสมัย
รวมถึงเมื่อเปิดพอร์ตแล้ว จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเลือกถูกตัว ไม่เจ็บช้ำใจกับสภาวะตลาดผันผวน หรือจังหวะตลาดที่จับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อทุกการเริ่มต้นคือการเรียนรู้ และหากจะเริ่มต้นเรียนรู้การลงทุน จะเริ่มจากจุดใด วันนี้เรามีคำตอบ
1.ลงทุนอะไร?
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ใครๆ ก็ย่อมเกิดคำถามนี้ เพราะสินทรัพย์ลงทุนนั้นมีมากมายหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ แต่ละประเภทก็มีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรตอบตัวเองให้ได้เสียก่อนว่าเราลงทุนไปเพื่ออะไร มีเป้าหมายอะไร ถ้าตอบได้แล้วก็จะสามารถวางแผนได้ว่าควรลงทุนสินทรัพย์อะไรในสัดส่วนเท่าไร เพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้สำเร็จ
2.ลงทุนเมื่อไร?
เป็นอีกคำถามยอดฮิต และคำตอบคือ “เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน เริ่มวันนี้ดีที่สุด” เพราะยิ่งเริ่มลงทุนเร็ว ยิ่งได้เปรียบจากพลังของผลตอบแทนทบต้น แถมยังมีเวลาคิดทบทวนแผนการลงทุนระหว่างทางได้ หากผิดพลาดตรงไหนจะได้ปรับแก้ได้ทันท่วงที
3.ลงทุนเท่าไร?
คำตอบของคำถามข้อนี้ ไม่มีคำตอบตายตัว แต่เพื่อความปลอดภัย ในช่วงเริ่มแรกอาจเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มากก่อน แล้วทยอยเพิ่มเงินลงทุนไปเรื่อยๆ หากมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ควรเป็นจำนวนเงินที่ลงทุนแล้วสบายใจ ไม่เป็นการเบียดเบียนตัวเองมากเกินไปจนทำให้การใช้ชีวิตติดขัด
4.ลงทุนที่ไหน?
ปัจจุบันมีบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เปิดให้บริการมากมาย แต่เพื่อให้ความปลอดภัยมีกฎหมายคุ้มครอง ควรเลือกลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนจะอยู่กับบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีระบบการซื้อขายที่มั่นคง ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสภาวะตลาดผันผวน โลกรวน และปัจจัยหลายด้านทั้งค่าเงินผันผวน การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ต่างพร้อมเข้ามาท้าทายการลงทุนในทุกจังหวะ จนทำให้นักลงทุนหลายคน รวมถึงนักลงทุนมือใหม่เกิดความกังวลใจกับการลงทุน
เทคนิคการลงทุนที่จะช่วยพิชิตได้ทุกสถานการณ์ตลาด ด้วยการการลงทุนแบบ “DCA” หรือ Dollar Cost Averaging ซึ่งเป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน โดยข้อดีของ DCA มีดังนี้
1.ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เพราะ DCA เป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับราคาของสินทรัพย์ที่ลงทุน
2.ตัดอารมณ์ส่วนตัวออกจากการลงทุน เพราะ DCA เป็นการลงทุนที่ไม่ได้จับจังหวะตลาด
3.สร้างวินัยในการลงทุน เพราะ DCA เป็นการลงทุนแบบสม่ำเสมอในทุกเดือน
4.ใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก สามารถจัดสรรและกำหนดเงินลงทุนได้เองในแต่ละเดือน
5.เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภทที่ต้องการสร้างโอกาสความมั่งคั่งในระยะยาว
ส่วนช่องทางลงทุนที่น่าสนใจ คือ ttb smart port ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ออกแบบมาให้ง่ายต่อนักลงทุน ในการวางแผนและเริ่มลงทุน พร้อมกับให้ความสบายใจด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
ข้อดีของบริการจาก ttb smart port คือ
1.สามารถเลือกลงทุนในโมเดลพอร์ตสำเร็จรูปได้ง่ายๆ ตามลำดับความเสี่ยงที่เหมาะสม
2.ไม่ต้องคอยนั่งติดตามพอร์ตและจับจังหวะการลงทุนเอง เนื่องจากจะมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลการปรับสัดส่วนการลงทุนให้อัตโนมัติ ตามสภาวะตลาดสำคัญๆ ได้ทันท่วงที
3.เปิดพอร์ต ทำรายการซื้อขายได้เองง่ายๆ ผ่าน แอปพลิเคชัน ttb touch ไม่ต้องไปถึงสาขา
4.ซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนได้คล่องตัวขึ้น แม้อยู่ในช่วงปรับพอร์ต ไม่ติดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง หรือเสียโอกาสในการลงทุนอีกต่อไป
5.แสดงรายละเอียดมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) เหมือนการซื้อกองทุนทั่วไป
6.ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Front-end fee)
7.ใช้เงินเริ่มต้นลงทุนไม่มีขั้นต่ำ จะบาทเดียว ร้อยเดียว หรือ พันเดียวก็ลงทุนได้
อีกทั้ง ttb smart port ยังช่วยคัดสรรกองทุนรวมที่ตอบโจทย์นักลงทุนทุกประเภท โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ เน้นตอบโจทย์ทุกเป้าหมายการเงิน ปรับสัดส่วนการลงทุนให้โดยอัตโนมัติทุกเดือน แถมมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลกอย่าง Amundi และ Eastspring ช่วยบริหารจัดการเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยมีกองทุนให้เลือกมากถึง 5 รูปแบบ ประกอบด้วย
1. ttb smart port 1 – preserver (ระดับความเสี่ยง 4)
โมเดลกองทุนรวมที่เน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวที่มากกว่าเงินฝาก แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% และตราสารหนี้ในประเทศ 70% เหมาะสำหรับคนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ ต้องการควบคุมความเสี่ยงเป็นหลัก
2. ttb smart port 2 – nurtuner (ระดับความเสี่ยง 5)
โมเดลกองทุนรวมที่เหมาะกับคนที่สามารถรับความผันผวนได้ค่อนข้างน้อยและต้องการลงทุนเพื่อชนะเงินเฟ้อ แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นตราสารหนี้ในประเทศ 35%, ตราสารหนี้ต่างประเทศ 45% และหุ้นต่างประเทศ 20%
3. ttb smart port 3 – balancer (ระดับความเสี่ยง 5)
โมเดลกองทุนรวมที่เน้นกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อรักษาสมดุลพอร์ตการลงทุน แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นตราสารหนี้ในประเทศ 15%, ตราสารหนี้ต่างประเทศ 35%, หุ้นในประเทศ 10% และหุ้นต่างประเทศ 40% เหมาะสำหรับคนที่ต้องการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายด้วยระดับความเสี่ยงสายกลาง ไม่เสี่ยงมากหรือน้อยไป และมีเป้าหมายให้เงินทำงานแทนในระยะยาว
4. ttb smart port 4 – explorer (ระดับความเสี่ยง 5)
โมเดลกองทุนรวมที่เน้นลงทุนเพื่อเป้าหมายให้เงินเติบโต และสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นตราสารหนี้ในประเทศ 10%, ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%, หุ้นในประเทศ 15% และหุ้นต่างประเทศ 55% เหมาะสำหรับคนที่สามารถรับความผันผวนได้ค่อนข้างสูง
5. ttb smart port 5 – gogetter (ระดับความเสี่ยง 6)
โมเดลกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นหุ้นต่างประเทศ 80% และหุ้นในประเทศ 20% เหมาะสำหรับคนที่สามารถรับความผันผวนได้สูงและต้องการสร้างโอกาสทำกำไรจากหุ้นทั่วโลก
สำหรับผู้ที่สนใจอยากลองสร้างแผนการลงทุนแบบ DCA ผ่านกองทุนรวม ttb smart port ทั้ง 5 รูปแบบ สามารถทำได้ง่ายๆ ที่ https://www.ttbbank.com/tsp/lite-cal
หรือเลือกกองทุนรวมโดนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/personal/investment/mutual-funds
ซึ่ง ttb ยังมีโปรโมชันสุดพิเศษมอบให้ลูกค้าที่ลงทุนแบบ DCA กับกองทุนรวม ttb smart port โดยลูกค้าที่ลงทุน DCA ขั้นต่ำเดือนละ 1,000 บาทขึ้นไป ติดต่อกัน 12 เดือน จะได้รับหน่วยลงทุนพิเศษเพิ่มอีก 0.2% ของเงินลงทุนแบบตั้งแผนการลงทุนอัตโนมัติรายเดือนในกองทุน ttb smart port
โดยต้องเริ่มตั้งแผนการลงทุนอัตโนมัติรายเดือน ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 28 ธันวาคม 2566 เท่านั้น
ผู้สนใจสามารถศึกษาขั้นตอนการเปิดพอร์ตการลงทุนผ่านแอป ttb touch ได้ที่ https://www.ttbbank.com/archive/howto/app/open-inv-port.php
หรือดูรายละเอียดโปรโมชั่นปี 2566 เพิ่มเติมที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/tspdca2023
นอกจากนี้หากใครกำลังมองหาโปรโมชันลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2566 ttb ก็มีโปรโมชันพิเศษ พร้อมโพยกองทุนเด็ด SSF/RMF แห่งปี ที่เค้าคัดสรรมาให้แล้ว เพื่อให้การลดหย่อนภาษีในปีนี้ของคุณง่ายขึ้น
เมื่อซื้อหรือสับเปลี่ยนเข้ากองทุน RMF/SSF ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 5 แห่งที่เข้าร่วมโปรโมชัน หรือโอนกองทุน LTF จาก บลจ.อื่นเข้ากองทุน LTF ของ บลจ.4 แห่งที่เข้าร่วมโปรโมชัน (ยกเว้น ONEAM) ทุก 50,000 บาท ของการลงทุนในแต่ละ บลจ. จะได้รับเงินลงทุนเพิ่มในกองทุนตลาดเงิน จำนวน 100 บาท (ตาม บลจ.ที่ได้ลงทุน) ตั้งแต่ 3 มกราคม - 28 ธันวาคม 2566
ดูรายละเอียดโปรโมชันพิเศษ พร้อมโพยกองเด็ด SSF/RMF เพิ่มเติมได้ที่ https://www.ttbbank.com/tax-saving2023/backlink
เพราะการลงทุนของมือใหม่ เป็นเรื่องที่ ttb ใส่ใจ การศึกษาและให้คำแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยคลายกังวลของนักลงทุนได้ในอีกทางหนึ่ง
สามาถลงทุนได้เลยง่ายๆ ด้วย แอป ttb touch www.ttbbank.com/ttbtouch/tsp
ปรึกษาเรื่องการลงทุน ผ่าน ttb investment line โทร. 1428 กด #4 ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 9:00 น. – 17:30 น. (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร) หรือ ที่ ทีทีบี ทุกสาขา
อ้างอิงบทความจาก https://www.ttbbank.com/th/personal/investment/mutual-funds/mf-articles/detail/tsp-dca-investment-question
คำเตือน ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF หรือ RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต สนใจลงทุนและรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ทีทีบี ทุกสาขา