ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา จากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสงครามการค้าที่กลับมาร้อนแรง รวมถึงการตั้งกำแพงภาษีที่ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/2567 ก็ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ฯ คาดการณ์ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดในระยะถัดไป
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่กดดันตลาด กลยุทธ์การลงทุนใน “หุ้นปันผล” จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากนักลงทุนสามารถรับกระแสเงินสดจากเงินปันผลได้ แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงในระยะสั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อราคาหุ้นปรับฐาน อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) จะยิ่งสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนระยะยาวสามารถสะสมหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกลง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในช่วงตลาดขาลง
และเพื่อให้กลยุทธ์หุ้นปันผลมีประสิทธิภาพสูงสุด นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง และมีแนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว นอกจากนี้ การกระจายพอร์ตการลงทุนในหลายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในว่า เบื้องต้นกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/67 ไม่ถึง 1.4 แสนล้านบาท (ไม่รวมการบินไทย) โดยมีอุตสาหกรรมที่เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนและจากปีก่อน ได้แก่
ส่งผลให้กำไรปี 2567 ไม่รวมการบินไทย อยู่ที่ 9 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ราว 74 บาท/หุ้น เท่านั้น โดยกำไรที่หายไปเกิดจากรายการพิเศษหลายบริษัท
ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่จะมีการปรับลดประมาณการจากนักวิเคราะห์ ซึ่งการปรับลดลงนั้นจะส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทย โดยตอนนี้ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ให้ EPS ปี 2568 ที่บริเวณ 89 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสผันผวนจากประเด็นกำแพงภาษี การปรับลดประมาณการกำไรในช่วงนี้ อีกทั้งยังเห็นเม็ดเงิน FCD (เงินฝากในสกุลเงินต่างประเทศ) ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.6 หมื่นล้านเหรียญ กดดันตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม
โดยแนะนำสะสมหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ปี 2568 เกิน 5% เพื่อหลบความผันผวน โดยมีรายชื่อ 10 บริษัท ดังนี้
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้