ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศลุยโครงการ Jump+ หวังเห็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) สร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น พร้อมสนับสนุนให้มีการควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันของบริษัทไทยในเวทีโลก
ขณะเดียวกัน มีแนวคิดในการเข้าหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อขอยกเว้นการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง สำหรับบริษัทนอกตลาดที่บริษัทจดทะเบียนเข้าซื้อกิจการ พร้อมยกเว้นการจัดเก็บภาษีกำไรส่วนเพิ่มในระหว่างเข้าโครงการ เพื่อจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาร่วมโครงการมากขึ้น
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า สำหรับโครงการ Jump+ นั้น เป็นโครงการที่มุ่งหวังให้บริษัทจดทะเบียนไทยกลับมาโฟกัสในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าให้มากขึ้น และมีการสื่อสารกับนักลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่จะจูงใจบริษัทจดทะเบียนได้ง่ายเป็นเรื่องภาษี แต่จะต้องไม่กระทบต่อสถานะการคลังของประเทศ
สำหรับโครงการดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมเข้าหารือกับกระทรวงการคลังเพิ่มเติมในรายละเอียด โดยมีแนวคิดให้มีการ “ยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่ม” ระหว่างการดำเนินโครงการ เพื่อเป็น Incentive หากบริษัทจดทะเบียนมีแผนงานที่ชัดเจนในการเพิ่มมูลค่ากิจการของตนเองในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และมีผลประกอบการที่ดีขึ้นจริง
ในอีกมุมหนึ่ง คือเรื่องการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนมีการควบรวมกิจการ (M&A) มากขึ้น จากมองว่าเป็นกลไกหนึ่งที่จะทำให้บริษัทจดทะเบียนไทยแข็งแกร่งขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น
“วันนี้ถ้าจะเติบโตจริงๆ บจ. เราต้องไปนอกประเทศแล้ว เพราะฉะนั้น การควบรวมนี้จะทำให้ได้ Synergy หลายอย่าง เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ และมีกำลังเงินในการลงทุนมากขึ้น” อัสสเดช กล่าว
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าอุปสรรคหนึ่งที่พบคือบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีบัญชีที่สองกันเยอะเพื่อให้จ่ายภาษีน้อยที่สุด เพราะฉะนั้น จะต้องให้บริษัทต่างๆ ที่มีบัญชีสอง เข้ามาอยู่ในระบบภาษีที่ถูกต้อง
ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะเสนอกระทรวงการคลังให้ “ยกเว้นการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง” หากบริษัทจดทะเบียนเข้าซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการบริษัทนอกตลาดหุ้นนั้นมา ซึ่งมองว่ารัฐบาลก็จะสามารถจัดเก็บได้มากขึ้นหลังจากที่บริษัทเหล่านี้เข้ามาอยู่ในระบบแล้ว จากเดิมที่ไม่ได้ คาดว่าจะมีการเสนอต่อกระทรวงการคลังภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า และจะสามารถเริ่มดำเนินโครงการ Jump+ ได้ในเดือนพฤษภาคม 2568
อัสสเดช กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นที่เริ่มมีแรงกดดันตลาดหุ้นไทย จากการขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงว่า ได้มีการปรึกษากระทรวงการคลังเพื่อหาแนวทางในการช่วยลดผลกระทบดังกล่าว
โดยมีแนวคิดที่จะโยกย้ายเงินลงทุนในกองทุน LTF มาที่กองทุน Thai ESG มองว่าจะช่วยสนับสนุนเรื่อง Trust & Confidence ในทางเดียวกัน ก็จะสนับสนุน performance ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่มีความผันผวนจากทั่วโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม กองทุน Thai ESG ถือเป็นกลไกหนึ่งที่ผลักดันการออมของประเทศ จากการจูงใจด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี และสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้นด้วย ซึ่งมุ่งหวังให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้