บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GULF และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น INTUCH รายงานผลประกอบการปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำไรรวม 3.16 หมื่นล้านบาท โดย GULF มีรายได้โรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ INTUCH รับส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ที่เติบโต
โดย “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ถือหุ้นใน GULF จำนวน 4,202,177,897 หุ้น หรือ 35.81% ของหุ้นทั้งหมด ขณะที่ GULF ถือหุ้นใน INTUCH จำนวน 1,338,270,150 หุ้น หรือ 41.73% ของหุ้นทั้งหมด
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GULF รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2567 เท่ากับ 18,170 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 22.3% โดยกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) ในปี 2567 เท่ากับ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% เมื่อเทียบกับปี 2566 เหตุผลหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3-4 และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก HKP INTUCH และ PTT NGD
ส่วนแบ่งกำไร core profit จากบริษัทร่วมและการร่วมค้า ในปี 2567 อยู่ที่ 11,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยหลักเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า HKP หน่วยที่ 1 ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 ประกอบกับ INTUCH ได้รับส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากผลประกอบการของ ADVANC ที่ดีขึ้น และ PTT NGD ที่มีผลประกอบการดีขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง
รายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจในปี 2567 อยู่ที่ 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับปี 2566 ประกอบไปด้วย
1) รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 111,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 ปัจจัยหลักจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3-4 ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 31 มีนาคม และ 1 ตุลาคม 2567 ตามลำดับ ประกอบกับโรงไฟฟ้า GSRC มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตามปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่สูงขึ้น
2) รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 3,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภายใต้ GULF1 ซึ่งมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า และให้บริการก่อสร้างโครงการแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม รวมถึงการจำหน่ายแผงพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น
3) รายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค อยู่ที่ 3,616 ล้านบาท ลดลง 13.8% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยรายได้เปลี่ยนแปลงตามสัดส่วนความคืบหน้าของงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม MTP3 ในส่วนของงานถมทะเล
4) รายได้จากธุรกิจดาวเทียม อยู่ที่ 2,413 ล้านบาท ลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยหลักเป็นผลจากการลดการใช้งานของลูกค้าในส่วนที่ดาวเทียมดวงใหม่ไม่ครอบคลุม ซึ่ง THCOM ยังคงมุ่งมั่นขยายการให้บริการในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ
ส่วนบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น INTUCH รายงานว่าปี 2567 กลุ่มอินทัชมีกำไรสุทธิรวม 13,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งผลกำไรจากเอไอเอส โดยเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของรายได้หลัก และเพิ่มขึ้นจากการรับรู้ผลประกอบการจากการเข้าซื้อกิจการ TTTBB สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุน ค่าใช้จ่าย และต้นทุนทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานเฉพาะบริษัท อินทัชมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสุทธิ (ไม่รวมผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในโครงการ InVent) สำหรับปีนี้อยู่ที่ 286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการปรับโครงสร้างฯ โดยหากไม่รวมค่าใช้จ่ายดังกล่าว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสุทธิของอินทัชจะลดลง
สำหรับส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนในกลุ่มเอไอเอสเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเติบโตของรายได้หลัก และการรับรู้ผลประกอบการของ TTTBB สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงต้นทุนทางการเงินจากการก่อหนี้ที่ใช้สำหรับการซื้อกิจการ TTTBB และต้นทุนทางการเงินของหนี้สินตามสัญญาเช่าของ 3BBIF รายได้จากขายและการให้บริการในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเติบโตของ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้