การลงทุนในระดับโลกในปี 2567 จัดว่าเป็นปีที่ดีมากสำหรับนักลงทุน เพราะสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้คือทองคำ (+27%) เพราะได้อานิสงส์ดอกเบี้ยโลกขาลง ดอลลาร์อ่อน และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 9% และปรับตัวขึ้นเกือบทุกตลาด
ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11% และมีตลาดหุ้นที่ปรับลดลงเพียง 7 ตลาด จากทั้งหมด 24 ตลาด โดยภาวะตลาดทุนโลกที่สดใสในปีนี้ ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะนอกจากอานิสงส์ดอกเบี้ยโลกขาลง ยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้าโลก รวมทั้งวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และความร้อนแรงของหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)
แต่สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดคือตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนติดลบในปีนี้ (ข้อมูลถึงวันที่ 25 ธันวาคม) เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และหากนับย้อนหลัง 2 ปี ตลาดหุ้นไทยคือตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดในโลก โดยติดลบถึง 18% ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นเฉลี่ย 29%
สาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง นอกจากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่ยังคงพึ่งพากับอุตสาหกรรมหนักหรืออุตสาหกรรมดั้งเดิม ที่ไม่มีการเติบโตและไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยขาดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve หรืออุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก ที่เป็นที่ต้องการในอนาคต และสามารถสร้างการเติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก
นอกจากนี้ ตลาดทุนไทยยังได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยยังอยู่ในช่วงขาลง ทั้งนี้ ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยลดลงถึง 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยหดตัว และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น อัตราส่วนของกำไรต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนไทยเคยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 99 บาทต่อหุ้นเมื่อปี 2560 หลังจากนั้นได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง
และปี 67 นี้ คาดว่า EPS เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยจะจบปีที่ 78 บาทต่อหุ้น เท่ากับลดลง 21% จากปี 2560 จึงไม่น่าแปลกใจที่ดัชนีราคาตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index จะติดลบมากถึง 22% จากจุดสูงสุดที่ระดับ 1,838 เมื่อต้นปี 2561!!
ขณะที่หากโฟกัสเฉพาะปี 2567 นี้ พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงทั้งสิ้น ติดลบ 15 จุด หรือลดลง 1.06% จากปิดตลาดสิ้นปี 2566 ที่ 1,415.85 จุด มาอยู่ที่ 1,400.85 จุด ในตอนปิดตลาด ณ วันที่ 25 ธ.ค. 2567 ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมทั้งสิ้น 148,136.95 ล้านบาท!!
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2568 ในมุมมองของสำนักวิเคราะห์ต่างๆ
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะกระจายพอร์ตหลายสินทรัพย์
ประเมินปี 2568 เป็นปีที่มีความยากในการลงทุน เนื่องจากยังประเมินไม่ได้ว่าสงครามการค้าที่จะกลับมารอบ 2 จะมีความรุนแรงเป็นวงกว้างแค่ไหน และ "โดนัลด์ ทรัมป์" จะมีมาตรการอะไรใหม่ๆ ออกมาตอบโต้คู่แข่งอย่างจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นด้วย
ประเมิน SET Index ปี 2568 มีโอกาสปรับขึ้นมาปิดที่ 1,600 จุด และ EPS 97 บาท/หุ้น เติบโตขึ้น 11% จากปีก่อน ขณะที่มองว่าเดือน ม.ค. 2568 หุ้นไทยมีโอกาสเกิด January Effect ได้ยาก เนื่องจาก "โดนัลด์ ทรัมป์" จะเข้ารับตำแหน่งช่วงปลายเดือน ทำให้ก่อนถึงช่วงนั้น "ทรัมป์" อาจส่งสัญญาณบางอย่างที่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นอื่นนอกสหรัฐฯ
โดยนักลงทุนอาจชะลอการลงทุนเพื่อดูความชัดเจนของนโยบายสหรัฐฯ ก่อน ขณะที่ยังมีแรงกดดันที่เดือน ม.ค. 2568 จะเป็นช่วงที่กองทุน LTF หมดอายุจำนวนมาก อาจเป็นตัวถ่วงตลาดหุ้นไทยในเดือน ม.ค. 2568 ด้วย
แนะกลยุทธ์ลงทุนปี 2568 กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ไม่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นเพียงอย่างเดียว จึงจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ Outperform ได้
ทั้งนี้ ความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ - จีน อาจสร้างผลบวกให้ไทยได้บ้าง เช่น การย้ายฐานผลิตจากจีนสู่ไทย รวมทั้งการส่งสินค้าจากไทยไปสหรัฐฯ เป็นสินค้าจำเป็น ทำให้สหรัฐฯ อาจไม่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยมากนัก ขณะที่อีกปัจจัยลบคือความผันผวนของราคาน้ำมันโลกตามความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่วนปัจจัยบวกหนุนหุ้นไทยคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่มีแนวโน้มดีกว่าปี 2567 จากการเร่งลงทุนของภาครัฐและเอกชน ประกอบกับการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากกว่าปีนี้
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากกว่า 2 ครั้งในปี 2568 หนุนให้ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจมากขึ้น
บล.กสิกรไทย แนะ Selective play หุ้นกลุ่มลดรายจ่าย
ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ที่ 1,520 จุด และ EPS ที่ 95 บาท/หุ้น ช่วงเดือน ม.ค. 2568 มีโอกาสเกิด January Effect แต่ให้น้ำหนักไม่มากนัก คาดจะดันให้ดัชนีหุ้นไทยไปยืนอยู่บริเวณ 1,440 จุดได้ จากการซื้อหุ้นของกองทุนที่คาดไว้ราว 15,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปี 2568 ยังมีความกังวลต่อการเติบโตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ที่ช่วงครึ่งปีแรกกลุ่มธนาคารระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้อัตราการเติบโตยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไว้เพียง 2.4% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าที่ภาครัฐคาดไว้ที่ 3% เนื่องจากการส่งออกจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังมีความกังวลต่อกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีน ที่อาจปรับตัวลงจากปีก่อนตามภาวะเศรษฐกิจจีน
ดังนั้นการลงทุนปี 2568 ถือว่าค่อนข้างยาก แนะนำให้ Selective play หุ้นกลุ่มที่มีการปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ โดยหุ้น Top picks ที่แนะนำได้แก่ EGCO และ OSP
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) แนะสะสมหุ้นค้าปลีก - ท่องเที่ยว-กลุ่มลดต้นทุน
ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ที่ 1,585 จุด และ EPS เฉลี่ยที่ 99 บาท/หุ้น มองปัจจัยบวกหนุนหุ้นไทยครึ่งปีแรกจากกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศของรัฐบาล และการใช้จ่ายภาครัฐปี 2568 ที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน นอกจากนี้ วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในปี 2568 จะช่วยให้ต้นทุนการเงินของธุรกิจปรับตัวลง
แต่มีประเด็นที่กังวลคือการเข้ารับตำแหน่งของ "โดนัลด์ ทรัมป์" เพราะคาดการณ์ว่านโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น จากการทำสงครามการค้ากับจีน จะกระทบมาที่ห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น ไทยด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนปี 2568 แนะนำสะสมหุ้นค้าปลีก - ท่องเที่ยว เพราะคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีหุ้นเด่นคือ CPALL, AOT, SPA และ ERW และยังมองว่าหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงก็น่าสนใจ ชอบ MTC มากสุด รวมทั้งกลุ่มที่มีการลดต้นทุนลงอย่างมีนัยสำคัญคือ OSP เป็นต้น
บล.บัวหลวง แนะโฟกัสหุ้นกลุ่ม Defensive พื้นฐานแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ
ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ที่ 1,485 จุด และคาด EPS ที่ระดับ 95 บาท/หุ้น แต่หากมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน เช่น อัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศปรับตัวลงต่อเนื่อง และการลงทุนของภาครัฐมาตามนัด อาจหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้อีก 100 จุด หรือกรณี Bull case มองตลาดหุ้นไทยไปได้มากสุดที่ 1,585 จุด และหากการจัดตั้ง Entertainment Complex ทำได้จริง อาจช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงส่งผลบวกต่อการก่อสร้างและการจ้างงานในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปี 2568 อาจไม่สดใส เพราะยังมีความเสี่ยงที่กระทบการลงทุน เช่น ความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบใหม่ รวมถึงเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง แต่ช่วงครึ่งปีหลังอาจเริ่มเห็นตลาดหุ้นฟื้นตัว โดยเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น รับอานิสงส์เฟดลดดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนดอกเบี้ยไทยมีโอกาสปรับลงได้เต็มที่ไม่เกิน 2 ครั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายรัฐบาลทั่วโลกจะเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ลงทุนปี 2568 แนะเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะชะลอตัวลงและปรับตัวต่ำสุดในไตรมาส 2/2568 เช่น กลุ่ม Commerce ที่เน้นการบริโภคและการใช้จ่ายประจำวัน, กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มท่องเที่ยว
ขณะที่ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่ม Auto เหตุจากธนาคารและไฟแนนซ์ยังคุมเข้มการปล่อยกู้ และการเปลี่ยนพฤติกรรมมาสู่รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี ภาพรวมยังไม่ค่อยดี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน และบริษัทในเอเชียมีการขยายกำลังการผลิตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สร้างแรงกดดันต่ออัตราการทำกำไร
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี" ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney