4 เรื่องหักมุมในยุคทรัมป์ 2.0

Experts pool

Columnist

Tag

4 เรื่องหักมุมในยุคทรัมป์ 2.0

Date Time: 28 พ.ย. 2567 18:35 น.

Video

บุกโรงงาน PANDORA ช่างไทยผลิตจิวเวลรี่ แบรนด์โลกแสนล้าน | On The Rise

Summary

  • 4 มุมมองสำคัญต่อการกลับมาของทรัมป์และสงครามการค้าในปี 2025 ทรัมป์เป็นนักทำดีลมากกว่านักทำนโยบาย มักใช้มาตรการแข็งเพื่อต่อรอง สงครามการค้ารอบนี้ดุกว่าเดิมเพราะมีทั้งประสบการณ์และแรงสนับสนุนจากทั้งสภาล่าง-บน ส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ระยะยาวอาเซียนและไทยมีลุ้นได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนจากจีน หากรู้จักฉกฉวยโอกาสและเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม

Latest


ในช่วงที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับนักวิเคราะห์นักลงทุนจากหลากหลายประเทศ รวมทั้งผู้ทำนโยบายที่เคยรับมือกับทรัมป์ 1.0 แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตกตะกอนความคิดจนไม่นานมานี้ จึงอยากจะฝากข้อสังเกต 4 ประการเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ และสงครามการค้าต่างๆ ที่คิดว่าธุรกิจ นักลงทุน และผู้วางนโยบายควรจะเตรียมรับมือในปีหน้าครับ

1. คนทำดีล ไม่ใช่ คนทำนโยบาย (Deal maker > policy maker)

ในปีหน้านายโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นผู้วางนโยบายที่สำคัญและมีผลกระทบต่อทั้งโลกมากที่สุด แต่ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองอเมริกาและอดีตผู้นำประเทศที่เคยเจรจากับเขา ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทรัมป์คือนักเจรจา/นักทำดีล ไม่ใช่นักทำนโยบาย

ซึ่งแปลว่านโยบายที่ประกาศออกมานั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ ขึ้นอยู่กับดีลที่เขาอยากได้ และหลายมาตรการก็ทำขึ้นเพื่อเปิดโต๊ะเจรจาสร้างอำนาจต่อรองให้ตนเอง ถ้าอยากจะอ่านเกมให้ขาดต้องช่วยกันเดาว่าเขาต้องการดีลอะไร ไม่ใช่เพียงวิเคราะห์จุดยืนและหลักการของแต่ละนโยบาย

แต่ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่านโยบายของทรัมป์จะไม่ดุดัน ตรงกันข้าม นักเจรจาต่อรองย่อมรู้ดีว่าการเจรจาต้องเริ่มจากการออกมาตรการ ‘ไม้แข็ง’ ที่เฟียสมาก่อน เพื่อให้ฝั่งตนเองได้เปรียบและทุบโต๊ะให้คนรีบมาที่โต๊ะเจรจา

ดังนั้นสงครามการค้าปีหน้าน่าจะดุดันเป็นพิเศษ

2. ทรัมป์ 2.0 อาจไม่เหมือน ทรัมป์ 1.0

ผู้ที่ติดตามการเมืองหลายประเทศจะชอบเตือนคล้ายๆ กันว่า อย่าประมาทไปคิดว่าผู้นำในเทอมที่สองจะคล้ายๆ กับเทอมที่หนึ่ง แม้สไตล์จะคล้ายกันแต่บริบทที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนๆ เดียวกันเป็นผู้นำที่ต่างกันมากในสองยุค

แน่นอนว่าจุดเด่นของทรัมป์คือ การที่คาดเดาได้ยากไม่ว่าจะเป็นยุคไหน แต่สิ่งที่เราพอรู้แล้ววันนี้คืออย่างน้อย:

- รอบนี้เขามีประสบการณ์การเป็นผู้นำรัฐบาลสหรัฐฯ มาแล้ว

- รอบนี้เขามีทั้งสภาล่างและบนอยู่ในมือ ทำให้ผลักดันมาตรการต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น

- นี่จะเป็นเทอมสุดท้ายของเขา โอกาสสุดท้ายที่ ‘เช็คบิล’ และไว้ลายให้โลกจำ

ทั้งหมดนี้ชี้ไปว่าสงครามการค้าอาจจะเข้มข้นกว่ายุคก่อน และมีผลกระทบกับประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยอย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม

- ทางตรง 1: หากอเมริกาตั้งกำแพงภาษีใส่ทุกประเทศดังที่เคยประกาศไว้ ก็จะโดนกระทบเต็มๆ

- ทางตรง 2: หากมีการตั้งกำแพงภาษีปิดช่องทางสินค้าของบริษัทจีนที่มาตั้งโรงงานในไทยเพื่อส่งออกไปอเมริกาด้วย ก็จะทำให้การส่งออกจากประเทศไทยก็จะโดนหางเลขไปด้วย

- ทางอ้อม 1: หากกำแพงภาษีใส่จีนบีบให้จีนต้องระบายสินค้ามาที่อาเซียนและไทยมากขึ้น จะเกิดสินค้าราคาถูกทะลักเข้ามามากขึ้น

- ทางอ้อม 2: หากจีนตอบโต้กำแพงภาษีด้วยการปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนลง (เคยทำในอดีต) ทำให้เกิดการแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดอื่น

- ทางอ้อม 3: ความไม่แน่นอนทางการค้าโลกทำให้ธุรกิจทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ฉุดการค้าโลกตั้งแต่ก่อนมาตรการออกมา (ธนาคารโกลด์แมน แซคส์พบว่าช่องทางนี้มีอิมแพคสูงมากในยุโรปยุคทรัมป์ 1.0)

ทั้งหมดนี้แปลว่าแรงกระแทกจากสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนมาตรการเกิดขึ้นและกระทบการส่งออกไทยได้แม้ไม่ได้โดนตรงๆ

3. อยากได้ดอลลาร์อ่อน แต่ใช้นโยบายดอลลาร์แข็ง

อีกความย้อนแย้งก็คือ ทรัมป์ชอบพูดว่าอยากได้เงินดอลลาร์ที่อ่อนลงแต่ชุดนโยบายของเขานั้นล้วนนำไปสู่การที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งขึ้น เช่น

- นโยบายกำแพงภาษีสูง ลดการนำเข้า

- ทำเงินเฟ้อสูงขึ้น (จากลดคนเข้าเมือง+ลดนำเข้า) อาจทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้น้อยลงกว่าที่คาด

- ทำให้ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะยุโรปอ่อนแอลง ส่งผลให้เงินยูโรอ่อน (เวลายูโรอ่อน ดอลลาร์มักแข็งค่า)

เป็นต้น

ดังนั้นนอกจากจะมีสงครามการค้าแล้ว ความย้อนแย้งนี้อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินเพิ่มไปอีก

4. อยากทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่ แต่นโยบายอาจกลับทำให้อาเซียนยิ่งใหญ่ขึ้น

ดังธีมในหนังสือ Twists and Turns ที่ว่าในทุก ‘ทวิสต์’ ย่อมมีโอกาส ’เทิร์น‘ สงครามการค้า 2.0 ที่ดุดันในปีหน้าอาจส่งผลบวกกับอินเดีย อาเซียนและเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว โดยทำให้การเคลื่อนย้ายการลงทุนของธุรกิจข้ามชาติจากจีนมาที่เอเชียตอนใต้ที่ได้เกิดขึ้นแล้วใน 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นเร่งตัวขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ต่อไปเราอาจเห็นการเคลื่อนย้ายไม่เพียงเงินทุนแต่รวมไปถึง talent หรือ หัวกะทิ มาทำงานในภูมิภาคมากขึ้น และผู้ประกอบการเก่งๆ อาจมาสร้างธุรกิจ สร้างงานใหม่ๆ ในตลาดนี้มากขึ้น

โดยประเทศที่เป็น ‘ตาอยู่’ ได้ประโยชน์มากหน่อยก็คือ กลุ่มประเทศในอาเซียนรวมทั้งไทยด้วย (Pivot to ASEAN) แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยก็คงขึ้นอยู่กับว่า ประเทศไทยเราพร้อมหรือยังที่จะตักตวงประโยชน์จากกระแสนี้อย่างเต็มที่แค่ไหน โรงงานที่มาจะใช้ไทยเป็นแค่ ‘เปลือกห่อ’ สินค้าส่งออกไปประเทศตะวันตก หรือจะมาพร้อม ‘แก่น’ คือความรู้และเทคโนโลยีที่ไทยเอามาใช้พัฒนาคนต่อยอดได้

ทั้ง 4 ทวิสต์ในยุคของทรัมป์ 2.0 ชี้ไปในทางเดียวกันว่า สถานการณ์โลกและอาเซียนอาจจะเป็นเหมือนตัว “J” คือจะแย่ลงก่อนในปีหน้า ก่อนที่ร้าย (อาจ) กลายเป็นดีได้ในระยะยาวหากรู้จักฉกฉวยโอกาส


หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กับการคิดถึงแผนปีหน้ากันครับ...

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook Page : สันติธาร เสถียรไทย - Dr Santitarn Sathirathai


Author

ดร. สันติธาร เสถียรไทย

ดร. สันติธาร เสถียรไทย
ที่ปรึกษาด้าน Future Economy สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย