ในการแถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ล่าสุด ได้คาดการณ์ว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.3 – 3.3% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 2.8% นับว่าต่ำกว่าประเทศในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย ที่คาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัว 5% มาเลเซีย 4.4% ฟิลิปปินส์ 6.1% และเวียดนาม 5.8%
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของไทยในปี 2568 ที่สภาพัฒน์มองว่ามีความไม่แน่นอนอย่างสูง คือ การตั้งรับแนวนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการรวบรวมมาตรการที่สำคัญของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยแรกช่วงปี 2560 – 2563 มากางดูกันว่าแต่ละนโยบายที่แสดงฤทธิ์เดชต่อเศรษฐกิจโลก สถานะปัจจุบันเป็นอย่างไร
ขณะที่ในปี 2561 มีข้อกฎหมายสำคัญ คือ
ต่อมาในปี 2562 มีข้อกฎหมาย คือ
ส่วนในปี 2563 มีข้อกฎหมาย คือ
ส่วนข้อเสนอแนวนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในสมัยที่ 2 เมื่อรวบรวมจากคำแถลงในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
ประเด็นที่ดูแล้วน่ากังวลมากที่สุด คือ การเมืองระหว่างประเทศ ที่คาดว่าการแบ่งขั้วทางการเมืองโลกจะรุนแรงมากขึ้น จากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงาน
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกประเภทโดยสินค้าจากจีนอาจมีการเก็บภาษีตรา 60% และ 10 - 20% สำหรับประเทศอื่นๆ และการยกเลิกหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่งที่ให้กับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน และสหรัฐฯ จะถอนตัวจากกรอบความร่วมมือ Indo-Pacific Economic Framework (IPEF)
มาตรการนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ราคาสินค้านำเข้าปรับเพิ่มสูงขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ จนอาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ชะลอกว่าที่คาด ขณะที่เศรษฐกิจและปริมาณการค้าของโลกชะลอตัวตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศที่ถูกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ตลาดเงินตลาดทุนมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น และประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มที่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้า จะส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกมากขึ้น
นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะมีการบังคับใช้มาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลเป็นการถาวรหลังจากที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2560 และมีกำหนดสิ้นสุดในปี 2568 ซึ่งจะกระตุ้นการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในสหรัฐฯ ให้ขยายตัวดีขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐในด้านต้นทุนภาษีสำหรับผู้ประกอบการ และจะมีมาตรการปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 20 ถึง 21% เป็น 15% สำหรับประเทศที่มีการผลิตภายในประเทศ แม้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้สูงและอาจส่งผลให้การกระจายรายได้ในสหรัฐฯ แย่ลง แต่จะดึงดูดเงินลงทุนระหว่างประเทศให้เข้าสู่ตลาดทุนสหรัฐเนื่องจากคาดว่าผลประกอบการตลาดสหรัฐจะขยายตัวได้ดี
ทั้งหมดนี้ยังเป็นเรื่องต้องติดตามกันต่อไป เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” กลับมาเขย่าโลกอีกครั้ง
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี" ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney