Fed จะพักการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ แล้วหรือยัง แล้วจะส่งผลอย่างไร ?

Experts pool

Columnist

Tag

Fed จะพักการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ แล้วหรือยัง แล้วจะส่งผลอย่างไร ?

Date Time: 23 มิ.ย. 2566 18:57 น.

Video

"CINDY CHAO The Art Jewel" สองทศวรรษอัญมณีศิลป์ | Brand Story Exclusive EP.4

Summary

  • ตั้งแต่ต้นปี 2022 หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่นักลงทุนต่างคอยติดตามมาตลอดคือ ข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการขึ้นที่ทั้งเร็วและแรงที่สุดนับจากทศวรรษที่ 1980 และปัจจุบันยังคงไม่แน่ชัดว่า Fed พร้อมที่จะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ แล้วหรือยัง ?

Latest


สถานการณ์ล่าสุดของ Fed

แม้การประชุมล่าสุดของ Fed เมื่อกลางเดือน มิ.ย. จะหยุดพักการขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว จากที่ปรับขึ้นมารวมแล้วสูงถึง 5.00% นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2022 แต่สิ่งที่สำคัญคือ Fed ได้ส่งสัญญาณแล้วว่ากำลังเข้าใกล้จุดที่เป็น Terminal Rate แล้วและอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.50% ในปีนี้

เมื่อถึง Terminal Rate แล้ว Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยฯ เลยหรือไม่ 

เมื่อดูตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจพบว่า ในไตรมาส 1 ปี 2023 GDP ของสหรัฐฯ ขยายตัวที่ 1.1% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.9% และเป็นการชะลอตัวลงจาก 2.6% ในไตรมาส 4 ปี 2022 นอกจากนี้ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ตัวชี้วัดกิจกรรมของภาคการผลิตอย่าง ดัชนี PMI จากสถาบัน ISM ยังอยู่ในสภาวะหดตัว ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเป็นผลลัพธ์ที่ Fed ต้องการเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ 

ด้านเงินเฟ้อ ถือว่ายังยืดเยื้อกว่าที่หลายฝ่ายคาด โดยในเดือน เม.ย. ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (CPI) ได้ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.9% และ 5.5% YoY ตามลำดับ โดยในเดือน มี.ค. Core PCE ซึ่งเป็นเครื่องมือชี้วัดที่ Fed มักอ้างอิงปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 4.6% YoY ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของค่าแรงยังเป็นจุดที่ Fed กังวล โดยดัชนี Employment Cost Index (ECI) กลับเร่งตัวขึ้นสู่ 4.7% ในไตรมาส 1 ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Fed ยังมีภารกิจอีกมากที่จะควบคุมให้เงินเฟ้อกลับมาที่ระดับเป้าหมายที่ 2%

ตัวเลขเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อเหล่านี้เป็นผลให้ Fed อาจคงอัตราดอกเบี้ยฯ ในระดับสูงนี้ไปอีกสักระยะ แม้จะเกิดความวุ่นวายในกลุ่มธุรกิจธนาคารสหรัฐฯก็ตาม โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของ Fed 

ตลาดมองต่าง แต่อาจมองภาพบวกกว่าสถานการณ์จริง

แม้การแถลงข่าวก่อนหน้านี้ของ Jerome Powell ประธาน Fed ได้เน้นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยฯ เป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ แต่ตลาดกลับมองตรงกันข้าม โดยคาดว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยฯ ในช่วงครึ่งหลังของปีเพราะมีโอกาสการเกิด Recession ในสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งราคาหุ้นและการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในเวลานี้กลับอยู่ในระดับสูงกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า

ด้านราคา พบว่าค่า P/E Ratio ล่วงหน้า 12 เดือนของดัชนี S&P 500 ยังอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ย 20 ปี ที่ 18.5 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิด Recession ในระยะข้างหน้า 

ด้านกำไร ตลาดยังคาดการณ์ว่าในปี 2023 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี S&P 500 จะปรับตัวลดลงเพียง 1% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับช่วงที่เกิด Recession ในอดีตที่ค่า EPS ปรับลงราว 16% โดยเฉลี่ย ดังนั้นโอกาสที่ค่า EPS จะปรับตัวลดลงในระยะข้างหน้าถือเป็นอีกความเสี่ยงในตลาดหุ้น

เหตุการณ์ในอดีต บอกอะไรกับเราบ้าง

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากในอดีตแล้ว เราพบว่าผลตอบแทนของหุ้นมักเป็นลบทั้งในช่วงก่อนและหลังจากที่ Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ หลังจากการขึ้นอย่างรวดเร็ว 

โดยในช่วง 180 วันก่อนที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ ครั้งแรก ผลตอบแทน Median (ค่าที่อยู่กึ่งกลาง) ของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ -7.5% ส่วนช่วง 180 วันหลังจากที่ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยฯ ครั้งแรก ผลตอบแทนของ Median จะอยู่ที่ -6.7% สาเหตุหลักเป็นเพราะในช่วงเวลาเหล่านั้นปัจจัยทางเศรษฐกิจมักจะยังอยู่ในทิศทางลบ 

นอกจากนี้ ข้อมูลยังได้บ่งชี้ว่าเมื่อ Fed หยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ แล้ว มักจะคงอัตราดอกเบี้ยฯ ในระดับนั้นราว 6.5 เดือนโดยเฉลี่ย ดังนั้น สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยืดเยื้อและสัญญาณ Hawkish จาก Fed ในปัจจุบัน เราจึงอาจเห็นการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเช่นกัน

ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตลาดอาจมองภาพบวกกว่าความเป็นจริง และยังสะท้อนว่าเวลานี้อาจยังไม่เหมาะที่จะเพิ่มการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง และการรักษาพอร์ตให้ Defensive ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับมือความไม่แน่นอนในอนาคต

ในช่วงเวลาที่ทิศทางตลาดยังไม่ชัดเจนเช่นนี้อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ยากว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่เราเชื่อว่าการ Stay Invested และการโฟกัสที่การลงทุนระยะยาว รวมถึงมีการกระจายการลงทุนที่ดี จะช่วยให้นักลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น และเพิ่มโอกาสให้เกิดผลตอบแทนจากการทบต้นได้ในระยะยาว


Author

ยศกร นิรันดร์วิชย, CFA

ยศกร นิรันดร์วิชย, CFA
กรรมการผู้จัดการ บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด