ต้องยอมรับว่าภาพรวมของตลาด EV ในปัจจุบันไม่ค่อยดีสักเท่าไร ทั้งในเรื่องของยอดขายที่ตกลงมาของผู้ผลิตแต่ละเจ้า จนเกิดเป็นสงครามราคา และกำลังลุกลามมาถึงเรื่องของซัพพลายในวัตถุดิบที่ใช้ผลิตรถ EV
มีรายงานออกมาว่า ยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของ Tesla ลดลงมา 4.8% อยู่ที่ 443,956 คัน ในขณะที่ GM ยอดขายโตขึ้น 0.6% ด้าน Toyota ยอดเพิ่มขึ้น 9% และ BYD มียอดขายเติบโตขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
โดยยอดขายของ Tesla ที่ลดมานี้ มีคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้าว่ายอดอาจจะต่ำกว่านี้ ทั้งนี้ ยังคงมีความหวังว่าตลาด EV จะฟื้นฟูขึ้น ส่วนเจ้าอื่นๆ นั้น ถึงแม้ว่าจะมียอดเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นยอดที่น้อยกว่าช่วงเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ยอดขายรถ EV ที่ตกลงมานั้น ทางนักวิเคราะห์มองว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ด้วยต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้น ผู้บริโภคต้องการสินค้าในราคาที่เข้าถึงได้ และบางรายเริ่มที่จะสนใจรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่ายอดขาย EV ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 16.6 ล้านคันในปีนี้ จากปี 2023 ที่มียอดขายอยู่ที่ 13.7 ล้านคัน โดยจะมีประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของรถ EV
ในปี 2023 ยอดการผลิตยานยนต์ของ BYD ทั้งที่เป็น EV และไฮบริด มีมากกว่า 3 ล้านคัน ซึ่งมากกว่า Tesla ที่มียอดการผลิตอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน แต่หากเทียบเฉพาะรถ EV จะพบว่า BYD ผลิตอยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ซึ่งยังน้อยกว่า Tesla
และถึงแม้ว่าในไตรมาสแรกของปี Tesla จะยังคงถือสัดส่วนใหญ่ในแง่ของยอดขาย EV อยู่ แต่ทาง Counterpoint Research คาดการณ์ว่า BYD จะมียอดขายเติบโตขึ้นอีก 4 เท่าในตลาดสหรัฐอเมริกาในปี 2024 นี้ และจะกลายเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาดรถ EV
ซึ่งจีนจะยังคงเข้าครองพื้นที่ 50% ในตลาด EV โลกในด้านของยอดขายจนกระทั่งปี 2027
ทังสเตน (Tungsten) คือ หนึ่งในแร่หายากที่เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต่อธุรกิจชิป ธุรกิจผลิตอาวุธ และธุรกิจยานยนต์ โดยเฉพาะการผลิต EV ทังสเตนเป็นแร่ที่มีจุดหลอมเหลวสูงรองจากเพชร และมีความแข็งแรงใกล้เคียงกับเพชรเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี มีความหนาแน่นสูง
ทังสเตนถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยมีสัดส่วนคือ 34% ในอุตสาหกรรมยานยนต์ 21% ในอุตสาหกรรมเหมืองและก่อสร้าง 11% ในภาคการผลิตเครื่องมือในอุตสาหกรรม และส่วนที่เหลือในอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างเช่น พลังงาน อาวุธ เป็นต้น
ทังสเตนมีความสำคัญอย่างมากในการผลิต EV และชิป โดยบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Nvidia และ TSMC ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานแร่ชนิดนี้ เพื่อมาใช้ในการผลิตชิป แต่ปัญหาสำคัญ คือ ปัจจุบัน 80% ของแร่ทังสเตน มีแหล่งแร่หลักอยู่ในประเทศจีน และทางสหรัฐอเมริกาเองก็เพิ่งจะมีนโยบายในการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าทังสเตนจากประเทศจีน
โดยทั้งทางสหรัฐฯ และยุโรป มีความต้องการที่จะลดการพึ่งพาจีน และหันมาให้ความสนใจกับเกาหลีใต้ อีกหนึ่งแหล่งแร่ทังสเตน ที่ปัจจุบันเริ่มหันมาดำเนินการผลิต
ด้วยความต้องการในทังสเตนที่เพิ่มขึ้นของประเทศต่างๆ มีการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิส์ และความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ ส่งผลให้มูลค่าของทังสเตนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งสหรัฐอเมริกาเองได้หยุดการผลิตทังสเตนไปแล้วตั้งแต่ปี 2015 เท่ากับว่า สหรัฐฯ จะต้องนำเข้าทังสเตนเพื่อมาใช้ในประเทศเท่านั้น
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney