เมื่อวันพุธที่ 13 ธันวาคม (ตามเวลาสหรัฐฯ) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25%-5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี นับเป็นการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 11 ครั้ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565
สำหรับการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในปี 2567 คณะกรรมการส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้ง รวม 0.75%
ต่อมาในปี 2568 จะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง รวม 1.0% ส่วนในปี 2569 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง รวม 0.75% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงสู่ช่วง 2.00-2.25% ซึ่งใกล้เคียงกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.50%
ด้านแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ คณะกรรมการได้ปรับลดคาดการณ์สู่ระดับ 3.2% ในปี 2566 และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.4%, 2.2% ในปี 2567-2568 และกลับมาอยู่ที่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในปี 2569
นอกจากนี้คณะกรรมการยังปรับเพิ่มแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2566 มาอยู่ที่ 2.6% จากระดับ 2.1% ในเดือนกันยายน และคงคาดการณ์ในปี 2567 ที่ระดับ 1.4% ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 1.8%
ด้านอัตราการว่างงาน คณะกรรมการได้คงคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.8% ในปี 2566 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ทั้งในปี 2567, 2568 และ 2569 ขณะที่อัตราการว่างงานระยะยาวอยู่ที่ 4.1%
ทั้งนี้หลังการประชุม (FOMC) เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงการณ์เพิ่มเติมว่า คณะกรรมการเตรียมพร้อมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหากแรงกดดันด้านราคากลับมา โดยขณะนี้ Fed กำลังหันมาให้ความสำคัญกับการพิจารณาช่วงเวลาลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับคืนสู่เป้าหมายที่ 2%
อ้างอิง