ผู้บริหารระดังสูงของธนาคารกลางเรียกร้องให้ธนาคารจีนจัดตั้งสาขาในภูมิภาคตามแนวโครงการ Belt and Road Initiative หรือ BRI เพื่อให้บริการทางการเงินครอบคลุมไปยังพื้นที่ที่มีธุรกิจจากจีนเข้าไปลงทุน
โดย Zhou Chengjun ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเงินของธนาคารกลางจีน (People's Bank of China: PBOC) ระบุถึงความสำคัญของพื้นที่โครงการ BRI ว่า แม้ธนาคารจีนหลายแห่งมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกอย่าง โตเกียว นิวยอร์ก และสิงคโปร์ แต่จริงๆ แล้วประเทศที่อยู่ในโครงการ BRI ควรเป็นพื้นที่ที่ธนาคารจีนจะนำเสนอบริการแก่บริษัทจีนอย่างครอบคลุม
ทั้งนี้ BRI ถือเป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ผ่านความช่วยเหลือในด้านการเงินจากจีน และตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้มีประเทศที่ลงนามไปแล้วกว่า 139 ประเทศ ซึ่งคิดเป็น 40% ของ GDP โลก
และมีโครงการความร่วมมือที่ริเริ่มไปแล้วกว่า 3,000 โครงการ ดึงดูดการลงทุนเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 36.45 ล้านล้านบาท) โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานและทรัพยากร นิคมอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือทางการเกษตร และเศรษฐกิจดิจิทัล
ซึ่ง Zhou ยกตัวอย่างสปป.ลาว ที่มีบริษัทจีนหลายเจ้าเข้าไปลงทุนแต่มีธนาคาร Bank of China เพียงสาขาเดียวอยู่ที่เวียงจันทน์ ซึ่งหากบริษัทจีนต้องการเปิดบัญชีทำธุรกรรมสกุลเงินหยวน บรรดาพนักงานต้องใช้เวลาเดินทางกว่าสามสี่ชั่วโมงเพื่อตามหาธนาคารจีน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธนาคารจีนทั้งหมดจำเป็นจะต้องมาเปิดสาขาย่อยที่ลาว ซึ่ง Zhou กล่าวว่าสามารถทำธุรกรรมผ่านธนาคารตัวแทนได้ โดยมีเป้าหมายคืออำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของจีนหรือบริษัทต่างชาติให้สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินหยวนได้
พร้อมกล่าวด้วยว่าการเพิ่มการใช้เงินหยวนในประเทศ BRI นั้นมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้สกุลเงินของจีนมีความเป็นสากล และเป็นโอกาสในการขยายธุรกรรมของธนาคารให้ก้าวหน้าขึ้นด้วย
อ้างอิง