“สมคิด” นั่งประธานประชุมประชารัฐเอสเอ็มอีให้เร่งกันช่วยเศรษฐกิจระดับล่าง เตรียมนัดกินข้าว 20 บริษัทยักษ์ใหญ่ จัดกิจกรรมซีเอสอาร์เพื่อชาวบ้าน ผุดไอเดียอบรมวิชาชีพช่างประปา ช่างไฟฟ้า เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในชุมชน จี้สถาบันการเงินรัฐช่วยปล่อยสินเชื่อให้คนระดับล่าง ยันไม่เบี้ยวหนี้แน่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงานประชารัฐด้านส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หรือสตาร์ตอัพ และโซเชียล เอ็นเตอร์ไพร์ส ซึ่งในส่วนภาครัฐหลังการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมภาครัฐเป็นนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ส่วนหัวหน้าทีมภาคเอกชนคือนายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายกลินท์ สารสิน ประธานหอ-การค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมทั้งมีนายสุพันธ์ มงคลสุธี เป็นที่ปรึกษา
โดยนายสมคิดเปิดเผยว่า รัฐบาลต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจฐานราก จึงจะดึงเอกชนรายใหญ่ที่มีศักยภาพมาส่งเสริมเอสเอ็มอีรายย่อย และมาอบรมสอนความรู้ด้านอาชีพให้ชาวบ้านในชนบท ให้เป็นช่างพื้นฐานทั่วไป เช่น ช่างประปา ช่างไฟฟ้า เพื่อรับจ้างสร้างอาชีพเสริมในท้องถิ่นให้มีรายได้เพิ่ม ตอนนี้เศรษฐกิจข้างบนดีแล้ว คนมีเงิน แต่คนที่อยู่ระดับล่างยังมีปัญหาจึงต้องการให้มุ่งความสนใจไปที่คนระดับล่าง โดยเฉพาะชาวบ้าน และจะขอนัดกินข้าวกับ 20 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (ซีเอสอาร์) หรือมีนโยบายเข้าไปส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ที่สามารถนำมาหักภาษีได้ มาร่วมกันดูว่าจะมีกิจกรรมอะไรที่ช่วยชาวบ้านได้บ้าง
“การช่วยส่งเสริมเอสเอ็มอี ตามแนวทางประชารัฐนั้นในส่วนของภาครัฐทั้งรองปลัดกระทรวง อธิบดี ขอให้ลงพื้นที่กันอย่างเต็มที่ คนที่ใกล้เกษียณก็ขอให้ทำงานอย่างเต็มที่จะได้มีงานทำต่อ ขณะที่สถาบันการเงินของรัฐไม่ใช่มานั่งนับว่ามีกำไรสูงๆ ต้องช่วยกันปล่อยสินเชื่อให้ถึงคนที่อยู่ข้างล่าง ขอร้องช่วยกันหน่อย คนระดับล่างไม่มีเบี้ยวหนี้”
นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ประชุมได้วางกรอบการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี ปี 2560 เพื่อออกมาตรการช่วยเหลืออย่างครบวงจรในทุกมิติ ทั้งในด้านการช่วยเหลือทางการเงิน และการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การเพิ่มผลิตภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด โดยชุดมาตรการทางการเงินของรัฐบาลจะมีเงินทุน 37,000 ล้านบาท ทั้งจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) และโครงการสินเชื่อประชารัฐ ซึ่งจะมีการผ่อนปรนหลักประกันให้ด้วย
ทั้งนี้ จะมีการปล่อยสินเชื่อปลายเดือน พ.ค.นี้ เริ่มจากการช่วยเหลือเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยขนาดเล็กมาก (ไมโคร) เป็นผู้ประกอบการรายเดียวมีการจ้างงานไม่เกิน 5 คน เพื่อใช้เงิน มาให้กู้ยืมแก่ไมโคร เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท รายละไม่เกิน 200,000 บาท ระยะเวลากู้ 10 ปี ปลอดเงินต้น 3 ปี และไม่คิดดอกเบี้ย คาดว่ามีจำนวนผู้รับประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย เมื่อเป็นรายย่อยโตขึ้นแต่ยังไม่จดทะเบียนเป็นบริษัทนิติบุคคล จะมีเงินจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ 3,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้รายละไม่เกิน 600,000 บาท คิดดอกเบี้ย 1% ปลอดเงินต้น 3 ปี มีระยะเวลากู้ 7 ปี มีจำนวนผู้รับประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 5,000 ราย
ขณะเดียวกัน จะเร่งรัดปล่อยสินเชื่อจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 15,000 ล้านบาท สำหรับเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพได้กว่า 5,000 ราย รายละไม่เกิน 10 ล้านบาท มีเวลากู้ 7 ปี ปลอดเงินต้น 3 ปี คิดดอกเบี้ย 1% และหากต้องการขยายด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับเอสเอ็มอี ทางเอสเอ็มอีแบงก์จะมีสินเชื่อ SME Transformation Loan วงเงิน 15,000 ล้านบาท โดยให้กู้มากกว่ารายละ 10 ล้านบาท จะช่วยเหลือเอสเอ็มอี ได้อีก 5,000 ราย มีเวลากู้ 7 ปี ปลอดเงินต้น 1 ปี ดอกเบี้ย 3% ส่วนอีก วงเงิน 2,000 ล้านบาท เป็นเงินจากกองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอีของ สสว.
ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เตรียมนำเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพมาพัฒนา 250 ราย เพื่อเพิ่มยอดขาย 100% จากเดิม หวังดูแลทั้งด้านตลาดอีคอมเมิร์ซ และส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น.