นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นให้ทบทวนการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำในภาพรวมของประเทศ ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วมและปัญหาคุณภาพน้ำ โดยนายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่า หากโครงการขนาดใหญ่ติดขัดดำเนินการไม่ได้ ก็ให้ทำโครงการเล็กๆแทน เพื่อให้แก้ปัญหาให้ชาวบ้านอย่างทันท่วงที และยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางเพิ่มปริมาณน้ำ และบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง คือ บึงสีไฟ กว๊านพะเยา บึงบอระเพ็ด และบึงหนองหาน
ขณะเดียวกัน ที่ประชุม กนช.ยังเห็นชอบให้กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทาน ไปร่วมกันศึกษาความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ตะวันออก โดยในอนาคตกัมพูชาจะก่อสร้างเขื่อนพลังน้ำสตึงนัม บริเวณชายแดน ที่ จ.ตราด ซึ่งฝ่ายกัมพูชาที่จะซื้อไฟฟ้าเมื่อก่อสร้างเขื่อนและผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งโรงปั่นไฟจะอยู่ในฝั่งไทย ดังนั้น จะมีน้ำส่วนหนึ่งที่ไทยนำมาใช้ประโยชน์ได้ประมาณปีละ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันออก ที่จะมีโครงการเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จึงต้องเตรียมพร้อมรับน้ำจากเขื่อนสตึงนัม
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการถ่ายโอนภารกิจการดูแลแหล่งน้ำขนาดเล็ก มีความจุไม่เกิน 1 ล้านลูกบาศก์เมตร จำนวน 10,000 แห่ง ไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งมีโครงการของทั้งกรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งพบว่า อปท.ไม่มีงบประมาณบำรุงรักษาทำให้แหล่งน้ำ 10,000 แห่งของประเทศเกิดความเสื่อมโทรม ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากแหล่งน้ำหลายแห่ง ไปสร้างห่างไกลจากแหล่งชุมชน จึงยากที่จะดูแล โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขต่อไป.