บอร์ดดีอีไฟเขียวตั้งดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ ดึงนักธุรกิจต่างชาติร่วมสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ใน EEC เร่งวางโครงข่ายเน็ตประชารัฐให้ครอบคลุม 24,700 หมู่บ้านทั่วประเทศ เพิ่มบทบาทไปรษณีย์ไทย รองรับการซื้อขายออนไลน์
เมื่อวันที่ 20 เม.ย.60 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 โดยมีนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายพิเชฐ แถลงว่า ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้า โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน รองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบด้วย การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ ในชื่อโครงการเน็ตประชารัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ หรือ อาเซียนดิจิทัลฮับ วงเงิน 5,000 ล้านบาท ที่ให้ กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ไปดำเนินการ ทั้งสองกิจกรรมมีความคืบหน้าตามแผนที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอแนวคิดการจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ เพื่อสนองตอบการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล 2 นโยบาย ได้แก่ ไทยแลนด์ 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยดำเนินการบนพื้นที่ 700 ไร่ ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ จะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลาง ด้านดิจิทัลของภูมิภาค ที่มุ่งเน้นให้เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจดิจิทัล ควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งต่างประเทศให้ความสนใจในโครงการนี้
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังได้เห็นชอบ โครงการดิจิทัล ชุมชน หรือ ดิจิทัลคอมมูนิตี้เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ผ่านธุรกิจพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ โดยอาศัยศักยภาพของบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ที่มีเครือข่ายสาขาที่ทำการกว่า 5,000 แห่ง มีเครือข่ายเส้นทางการขนส่งกว่า 400 เส้นทาง ร่วมมือกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 24,700 หมู่บ้าน ตามโครงการเน็ตประชารัฐ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นจำหน่ายหน้าร้าน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ จำหน่ายผ่านแคตตาล็อก หรือจำหน่ายผ่านระบบการซื้อขายออนไลน์ รวมถึงการกระจายสินค้าไปยังผู้ซื้อทั่วประเทศ หรือ อี โลจิสติกส์ และยังสามารถใช้ประโยชน์จากระบบการชำระเงิน หรือ อี เพย์เมนต์ ทั้งชำระด้วยเงินสด และออนไลน์หรือเก็บเงินปลายทาง โดยหลังจากนี้จะมีการฝึกอบรมให้กับชาวบ้านและร้านค้าชุมชนต่อไป