ศึกเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ระหว่าง "คามาลา แฮร์ริส" และ "โดนัลด์ ทรัมป์" กลายเป็นศึกที่คนทั้งโลกต้องจับตามอง เพราะผู้นำใหม่ไม่ได้มีบทบาทแค่เป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบายภายในสหรัฐฯ ของอีก 4 ปีข้างหน้า แต่ยังเป็นตัวแปรของทิศทางเศรษฐกิจโลกทั้งใบ
เพราะไม่ว่าผู้ใดจะได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตาม สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มจะใช้นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนต่อไป ส่อแวว Trade War (สงครามการค้า) รอบใหม่ ที่อาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น
และหาก Trade War รอบแรกปี 2561 สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการปรับห่วงโซ่การผลิตของโลก Trade War รอบนี้ก็อาจจะยิ่งส่งผลกระทบทางลบที่มากขึ้นต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
วิจัยกรุงศรี ประเมินความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยล้อกับ “ผลเลือกตั้งสหรัฐ” ที่ขณะนี้คะแนนแทบจะสูสีกัน โดยให้น้ำหนักไปที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” อาจคว้าชัยชนะ ว่าหากตามนโยบายภาษีนำเข้าเข้มข้นที่ทรัมป์ประกาศไว้ อาจมี 3 สถานการณ์เกิดขึ้น ดังนี้
“กรณีที่ทรัมป์เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐ หากเดินหน้านโยบายภาษีนำเข้าที่เข้มข้นขึ้นตามที่เคยประกาศไว้ แม้จะช่วยกระตุ้นบางภาคส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่อาจเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตและกดดันผู้บริโภคด้วยราคาสินค้าที่สูงขึ้นอย่างมาก”
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรียังประเมินว่า หากเกมพลิก “แฮร์ริส” ชนะแทน ก็คาดว่าผลกระทบต่อการค้าโลกจะไม่รุนแรงนัก เนื่องจากมีแนวทางจะเลือกเก็บภาษีเฉพาะสินค้าที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลก รวมถึงไทยในกรณีนี้จะไม่รุนแรง ขณะที่การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอาเซียนยังคงสร้างโอกาสให้แก่บางภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม อาจมีผลทางอ้อมจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศเช่นกัน
ที่มา : วิจัยกรุงศรี
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney