ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงานผลการศึกษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน หรือ ASEAN Consumer Sentiment Study (ACSS) ประจำปี 2024 ว่า ผู้บริโภคชาวไทยมากกว่า 2 ใน 5 คิดเป็น 42% ที่ใช้จ่ายกับสิ่งของจำเป็นมากขึ้น โดยกลุ่มที่ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ Gen Z อยู่ที่ 52% Gen Y 47% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 47% ส่วนกลุ่มที่ใช้จ่ายลดลงมากที่สุด Baby Boomers 24% และ Gen X 14% ในขณะที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์และสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น
“ผลการศึกษาในปีนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมด้านการเงินของผู้บริโภคชาวไทยเพื่อให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดี ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่สูงขึ้น และการออมที่ลดลง”
ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของ ACSS ยังระบุว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นยังคงเป็นความกังวลหลักของผู้บริโภคในประเทศไทย โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 64% ระบุว่าสิ่งนี้เป็นข้อกังวลหลัก ซึ่งมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 8%
นอกจากนี้ 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้น และ 58% ระบุว่าการออมที่ลดลงเป็นปัจจัยที่เป็นข้อกังวลรองลงมา เพื่อเป็นการตอบสนองต่อข้อกังวลเหล่านี้ ส่งผลให้ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม หรือคิดเป็น 51% ลดค่าใช้จ่ายสินค้าที่ไม่จำเป็น ในขณะที่ 45% แสวงหาแหล่งรายได้รอง และ 44% มองหาข้อเสนอและส่วนลดในการช็อปปิ้ง
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะมีความไม่แน่นอน แต่ผู้บริโภคชาวไทยกลับให้ความสำคัญกับการจับจ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์มากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย ผู้บริโภคชาวไทยมากกว่า 40% มองว่ามีการใช้จ่ายมากขึ้นกับการซื้อประสบการณ์ในปีที่ผ่านมา เช่น การเดินทาง รับประทานร้านอาหารรสเลิศ คอนเสิร์ต อีเวนต์และงานเทศกาล การใช้จ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z 56% และ Gen Y 45%
ซึ่งรายงานนี้จัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในประเทศไทย โดยได้จัดทำการสำรวจในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ปี 2567 พร้อมทั้งรวบรวมความคิดเห็นของผู้บริโภค จำนวน 1,000 คนจากประชากรหลากหลายกลุ่ม อายุระหว่าง 18-65 ปีทั้งชายและหญิง ร่วมกับบริษัท Boston Consulting Group ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึก
ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ข้อมูลจากวีซ่า ประเทศไทย ระบุว่าผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบีวีซ่า มีการใช้จ่ายในสินค้าหรูหราลดลง 9% แต่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อซื้อประสบการณ์กลับเพิ่มขึ้นเกือบ 3% การใช้จ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์ที่เป็นหมวดใหญ่ที่สุดคือการรับประทานอาหาร รองลงมาคือการเดินทาง และกิจกรรมความบันเทิง เช่น คอนเสิร์ตและงานเทศกาลซึ่งเป็นประเภทการใช้จ่ายที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดที่ 57%
ทั้งนี้การเดินทางระหว่างประเทศยังคงเป็นส่วนสำคัญของการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ โดยผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าครึ่งหนึ่ง 58% ระบุว่าได้เดินทางไปยังต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนในปีที่ผ่านมา ซึ่งผลการวิจัยของ ACSS 2024 เผยให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามยังชื่นชอบจุดหมายปลายทางในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย
ขณะเดียวกันข้อมูลของวีซ่า ประเทศไทย ยังยืนยันแนวโน้มการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ว่ามีการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเปรียบเทียบการใช้จ่ายบัตรเครดิตในต่างประเทศเป็นรายปีของผู้ถือบัตรเครดิตยูโอบี วีซ่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึง 30 มิถุนายน 2567 โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมอื่นๆ ทั่วโลกได้แก่ ญี่ปุ่น จีน (รวมถึงฮ่องกง) และฝรั่งเศส
แม้การใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคในประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นออมเงินอย่างแข็งแกร่ง โดย 57% ของผู้บริโภคระบุว่ามีเงินสำรองฉุกเฉินที่รองรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อยสามเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคอาเซียนที่ 54% สิ่งที่น่าสังเกตคือ คนรุ่นใหม่ (Gen Y และ Gen Z) ให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่งคั่งผ่านการออมและการลงทุนมากกว่าคนในช่วงอายุที่มากกว่า
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยังเปิดเผยอีกว่า บัญชีเงินฝากของกลุ่ม Gen Z เพิ่มขึ้น 52% ในขณะที่จำนวนบัญชีเงินฝากที่ถือครองโดยกลุ่ม Gen Y เพิ่มขึ้น 27% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้จำนวนนักลงทุน Gen Z เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า โดยเพิ่มขึ้น 129% ในขณะที่นักลงทุน Gen Y เพิ่มขึ้น 23% ซึ่งเม็ดเงินลงทุนโดยคนรุ่นใหม่จะเน้นการลงทุนตรงในต่างประเทศเติบโตขึ้น 10% และการลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 14%
“คนรุ่นใหม่ชาวไทยจำนวนมากมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางการเงินผ่านการออมและการลงทุน แต่ยังคงจำเป็นต้องให้การสนับสนุนเพิ่มเติมในด้านอื่นๆ เช่น ประกันสุขภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ เกือบ 8 ใน 10 คนมีความรู้ดี/ดีมากว่าต้องการเงินจำนวนเท่าใดเพื่อเกษียณอายุอย่างสบาย และ 9 ใน 10 คน เริ่มวางแผนการเกษียณอายุแล้วโดยส่วนใหญ่ผ่านบัญชีออมทรัพย์และเงินฝากประจำ อยู่ที่ 38% และ 23% ตามลำดับ ส่วนอีก 18% ลงทุนผ่านกองทุนรวม / ETF ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับการวางแผนมรดก โดย 2 ใน 5 หรือคิดเป็น 41% ของผู้บริโภคระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของตน อย่างไรก็ตามมากกว่า 1 ใน 4 ยังไม่ได้ทำการวางแผนมรดกใดๆ” ยุทธชัย กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney