เอกชนเสนอรัฐบาลออกเกณฑ์  “หยุดยึดรถกระบะ” ต่อลมหายใจลูกหนี้  มองเพิ่มกรอบเงินเฟ้อ ช่วยดันจีดีพี

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เอกชนเสนอรัฐบาลออกเกณฑ์ “หยุดยึดรถกระบะ” ต่อลมหายใจลูกหนี้ มองเพิ่มกรอบเงินเฟ้อ ช่วยดันจีดีพี

Date Time: 30 ต.ค. 2567 15:06 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • ภาคเอกชน ชี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการยึดรถกระบะที่เป็นแหล่งทำมาหากินของผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งควรได้รับการผ่อนปรน ขณะที่รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน ส่วนการปรับกรอบเงินเฟ้ออาจช่วยให้ GDP เติบโตได้ถึง 3.5% ในปีหน้า

เมื่อเวลา 9.30 น. ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้จัดงานสัมมนาเศรษฐกิจไทยประจำปี 2567 “Thailand 2025: Opportunities, Challenges and the Future” โดยภาคเอกชนภายในงานเห็นตรงกันว่า หนี้ครัวเรือนยังเป็นปัญหาที่กัดกินเศรษฐกิจไทย และหวังว่ารัฐบาลจะเร่งออกมาตรการช่วยลูกหนี้ นำร่องโดยการผ่อนปรนการยึดรถกระบะที่ผิดนัดชำระหนี้ เพราะมองว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างอาชีพ และต่อลมหายใจให้กับลูกหนี้ได้


สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ประเมินว่า ความเชื่อมั่นผู้ลงทุนกับผู้บริโภคกำลังกลับมา จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเยียวยาของภาครัฐ ทั้งนี้สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะในเรื่องรถกระบะที่เป็นหัวใจสำคัญของผู้ทำมาหากิน ทั้งนี้มองว่า หากรัฐบาลมีมาตรการออกมาจะช่วยผ่อนคลายปัญหาได้


“เวลานี้กลุ่มเปราะบางมีปัญหามาก เช่น กลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหาถูกยึดรถกระบะ แต่ละเดือนมีสูงมาก ซึ่งเรามองว่าหากผ่อนปรนให้เขาสามารถต่อลมหายใจประคับประคองภาวะทางการเงิน ก็จะช่วยให้ลูกหนี้กลุ่มนี้รอดได้”


ทั้งนี้ที่ผ่านมา กกร. นำเสนอรัฐบาลช่วยกลุ่มลูกหนี้กลุ่มนี้ โจทย์คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ถูกลด เช่นการผ่อนผันค่างวด หรือผ่อนปรนการชำระหนี้ให้ เพื่อให้สามารถต่อลมหายใจลูกหนี้กลุ่มนี้ได้ และหากสถาบันการเงินหรือลิสซิ่งเข้ามาช่วยเหลือ ก็อาจจะให้มาตรการทางภาษี ซึ่งเราได้เสนอกับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และท่านได้รับปากในการจะนำเข้าครม.


ปรับกรอบเงินเฟ้อช่วยจีดีพีโต


สำหรับการเจรจาปรับกรอบเงินเฟ้อ ระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นมองว่าเป็นเรื่องที่ดี หากเงินเฟ้อไปตามกรอบที่ 2% ได้ก็จะมีส่วนผลักดันให้ GDP ขยับไปที่ 3.5% ได้ด้วย ทั้งนี้ กกร. อยู่ระหว่างการทำเรื่องของเข้าพบกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเสนอความเห็นของภาคเอกชนต่อภาวะเศรษฐกิจจะทำอย่างไรให้ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้


ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 2.7 - 2.8% ระยะสั้น หนี้ครัวเรือนเหนี่ยวรั้งการเติบโต ซึ่งในเร็ววันนี้ มาตรการคงมีออกมาโดยจะเป็นแก้มาตรการหนี้ครัวเรือนแบบที่เราไม่เคยทำกันมาก่อน


“การแก้หนี้ครัวเรือนจะเป็นแพ็กเกจต่างจากอดีต จะไม่ใช่การช่วยเหลือแบบเทศกาล ซึ่งเรามีต้นทุนแฝงที่ซ้อนอยู่ในระบบ หากแก้ปัญหานี้ได้จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยดูดีมากขึ้น”


ทั้งนี้ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเรามองว่า ที่ผ่านมาเราเห็นถึงแรงเฉื่อยในการกระตุ้นของรัฐบาลในระลอกแรก ทั้งมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาทและมาตรการจับจ่ายที่ออกมาแล้วก็ไม่ต่อเนื่อง รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นในช่วงเทศกาลให้เกิดการจับจ่ายให้มีศักยภาพ


อย่างไรก็ตามทิศทางของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า 2568 มีการเหนี่ยวรั้งหลายเรื่องมีปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่มากต้น ๆ ของโลก เมื่อทุกอย่างอยู่นอกโครงสร้างเศรษฐกิจ ประเทศจะเอาทรัพยากรจากไหนมาสร้างการเติบโต


เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกร. เราประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ปีนี้อาจจะขึ้นไปที่ 2.7% ปีนี้ส่งออกดีเกินคาด 9 เดือน โต 3.9% เราต้องมาลุ้นช่วงไตรมาสสุดท้ายว่าทำได้หรือไม่


แต่สิ่งที่เหนี่ยวรั้งคือ หนี้ภาคครัวเรือน แม้ไตรมาสที่ผ่านมา ตัวเลขดีขึ้นที่ 89.6% ต่ำกว่าระดับ 90% แต่ไส้ในไม่ได้เกิดจากกิจกรรมมากขึ้น แต่เป็นการลดวงเงินปล่อยกู้ เลยทำให้หนี้ครัวเรือนดีขึ้น สิ่งที่เรามองสะท้อนคือ ภาคอุตสาหกรรมกังวล ดัชนีจีดีพีการผลิตลดลง 6 ไตรมาสติดต่อกัน


นอกจากนี้เรามีปัญหาสินค้าราคาถูกเข้ามาดั้มตลาด โดยเฉพาะในประเทศจีน ตัวเลขนำเข้าสูงขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสภาอุตสาหกรรมเรามี 46 กลุ่มอุตสาหกรรม เมื่อปี 2566 เรากระทบ 22 กลุ่มปีนี้เราได้รับผลกระทบ 25 กลุ่ม


ส่วนตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ยังอยู่ในเกณฑ์ดี 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงดีสุด ลงทุนเกือบ 2.2 พันโครงการ ลงทุน 7.2 แสนล้านบาท โต 42% ดีสุดรอบ 10 ปี และจะส่งผลในปลายปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ตามต้องจับตา 5 พ.ย. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะช่วยให้รู้ทิศทางการส่งออกของไทย


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ