นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลยังไม่น่าห่วง เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือเครดิต เรตติ้ง เท่ากับประเทศไทย โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 64.02% ต่อจีดีพี มูลค่า 11.7 ล้านล้านบาท ยังไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ว่าจะต้องไม่เกิน 70% ของจีดีพี แม้รัฐบาลจะกู้เพิ่มเติมอีก 145,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบางแล้วก็ตาม ทั้งนี้ แม้ว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลจะสูงขึ้นหลังโควิดปี 63-64 ที่ทำให้รัฐบาลต้องออก พ.ร.ก.เงินกู้รวม 1.5 ล้านล้านบาท แต่ระดับหนี้สาธารณะไทยเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วยังต่ำกว่ามาก แต่หากเทียบกับกลุ่มประเทศที่ได้เครดิต เรตติ้ง ระดับเดียวกับไทยหรือ BBB+ ระดับหนี้สาธารณะของไทยจะอยู่กลางๆของกลุ่ม
และวันที่ 1 พ.ย.นี้ หน่วยงานที่ดูแลเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะหารือกับบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่กระทรวงการคลังจ้างประเมินเครดิตพันธบัตรของรัฐบาล เพื่อประเมินเศรษฐกิจประเทศ “ปัจจัยที่บริษัทจัดอันดับเครดิตใช้ประเมินเครดิตเรตติ้ง เช่นความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ, องค์กรรัฐมีความแข็งแกร่ง, ความแข็งแกร่งทางการคลังและความอ่อนไหวของเศรษฐกิจต่อเหตุที่มีความเสี่ยง”
นางจินดารัตน์กล่าวว่า เดือน ส.ค.นี้ หนี้สาธารณะของรัฐบาลอยู่ที่ 64.02% ของจีดีพี แต่หากใช้มาตรฐานของกองทุนไอเอ็มเอฟในการนับหนี้สาธารณะ ซึ่งนับเฉพาะหนี้ที่รัฐบาลก่อขึ้นบวกกับหนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ไม่นับรวมหนี้รัฐวิสาหกิจแล้ว ระดับหนี้สาธารณะของไทยตามมาตรฐานสากล จะอยู่ที่ 54 -55% ของจีดีพี) สำหรับปีงบประมาณ 68 หนี้สาธารณะตามนิยามของไทย จะอยู่ที่ 66-67% ของจีดีพี โดยได้นับรวมหนี้ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว และมีโอกาสที่ระดับหนี้สาธารณะอาจต่ำกว่าที่คาดได้ หากปลายปี 68 จีดีพีไทยขยายตัวได้สูงกว่าคาด.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่