รอลุ้น “เที่ยวด้วยกัน” คลอดปลายปี “นายกฯอิ๊งค์” อยากไปดู “ลิซ่า” เคาต์ดาวน์ปีใหม่ไทย

“นายกฯอิ๊งค์” รอเกาะหน้าเวที “ลิซ่า แบล็กพิ้งค์” หากมาร่วมเคาต์ดาวน์ปีใหม่ตามที่เอกชนชวนได้จริง ระบุเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก และอยากไปดู ด้าน “จุลพันธ์” ชี้ไม่ห่วงแหล่งเงินโครงการเราเที่ยวด้วยกันมีเยอะ รอ “สรวงศ์” สรุปโครงการให้ชัด ด้านคนไทยเที่ยวนอกหลังบาทแข็งค่าไม่คึก เหตุเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น

น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังกาประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความชัดเจนกรณีการดึง น.ส.ลลิษา มโนบาล หรือลิซ่า แบล็กพิ้งค์ มาร่วมเคาต์ดาวน์ ที่ไอคอน สยาม ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของภาคเอกชนทำ 100% และข้อเท็จจริงเรื่องนี้นาย
สรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้ยินว่าเอกชนจะเชิญลิซ่า แบล็กพ้ิงค์ มา ซึ่งกระบวนการต่างๆเรายังไม่ทราบความชัดเจนว่าคอนเฟิร์มแล้วหรือยัง “ดิฉันเพิ่งไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งก็ดีใจเรื่องการเชิญมารัฐบาลไม่เกี่ยวเลย แต่ถ้ามาถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะลิซ่า แบล็กพิ้งค์ เป็นคนไทยที่ทั่วโลกสนับสนุนและชื่นชม รวมถึงสื่อมวลชน ก็น่าจะชื่นชม หากได้คิวมาจริงๆคงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก”

เมื่อถามว่าหากลิซ่ามาจริงนายกฯจะไปดูด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธารตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “มันจะมีบัตรไหมคะ ก็อยากไป”

ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยถึงการจัดทำโครงการเราเที่ยวด้วยกันว่า ได้หารือกับนายสรวงศ์ ถึงโครงการที่จะดำเนินการ เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยว โดยขณะนี้รอกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) โดยสรุปสนับสนุนเหมือนโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่รัฐบาลออกเงินให้ 40% และนักท่องเที่ยวชาวไทยออกเอง 40% หรือจะออกคนละครึ่ง ตรงนี้ต้องรอรูปแบบของโครงการออกมาก่อน ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่กำหนดว่าจะใช้ชื่อโครงการว่าอะไร ประเด็นต่อมาต้องดูว่าต้องการกระตุ้นท่องเที่ยวแรงแค่ไหน ถึงกลับมาดูได้ว่าต้องใช้เงินเท่าใด และจะใช้เงินจากตรงไหน เงินมีเยอะ ถ้าเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจของปีงบประมาณ 2568 มีอยู่ 187,000 ล้านบาท และเท่าที่คุยกับนายสรวงศ์อยากให้เร่งทำในปีนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังก็อยากให้กระตุ้นในช่วงปลายปีเช่นกัน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุดประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค.-20 ต.ค.67 ทั้งสิ้น 27.79 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ต่างชาติแล้ว 1,297,614 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน จำนวน 5.56 ล้านคน มาเลเซีย 3.9 ล้านคน อินเดีย 1.64 ล้านคน เกาหลีใต้ 1.47 ล้านคน และรัสเซีย 1.23 ล้านคน

ส่วนเรื่องที่กรมการท่องเที่ยวเสนอให้ทบทวนมาตรการการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ ต่างประเทศในประเทศไทย โดยยังไม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 ต.ค.67 เนื่องจากอธิบดีกรมการท่องเที่ยวแจ้งว่า ทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สลค.จะดำเนินการ เวียนสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 12 หน่วยงานก่อน คาดว่าจะเข้าได้ในสัปดาห์ถัดไป

ด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) เปิดเผยว่า การเดินทางของคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ ขณะนี้พบว่า มีจำนวนเยอะมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม ผู้ปกครองนิยมพาบุตรหลานออกไปเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงต่อจากนี้จนถึงต้นปี 2568 ถือเป็นช่วงที่คนไทยเดินทางไปเที่ยวนอกกันตามปกติอยู่แล้ว เพิ่มขึ้น 5-7% เทียบกับปี 2566 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลจากมาตรการวีซ่าฟรี ทำให้การเดินทางง่ายขี้น และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงๆ เพราะยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ

“ค่าเงินบาทแข็งไม่ได้สนับสนุนการเดินทาง มากนัก เพราะค่าใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศ ก็ปรับขึ้นด้วย ต้นทุนการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทั้งหมด ทั้งค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่ารถ เฉลี่ยต้นทุนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10-15% อย่างในญี่ปุ่นที่เงินเยนอ่อนค่าลง แต่คนไทยก็เพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก เพราะต้นทุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวสูงขึ้นกว่าเดิมเฉลี่ย 15-20% การเติบโตของตลาดไทยเที่ยวนอกจึงโตไม่ได้หวือหวามากมาย เพราะมีปัจจัยรบกวน โดยทั้งปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ยังไม่กลับไปเทียบเท่าปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีจำนวนคนไทยไปเที่ยวนอก 12-13 ล้านคน”.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม