นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าและแนวโน้มของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว ซึ่งไทยเป็นประเทศผู้นำด้านการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก โดยปี 66 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 4 ของโลก มีส่วนแบ่ง 8.39% ของโลก รองจากเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส สำหรับตลาดส่งออกสำคัญ พบว่า จีนเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยน่าจะมีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติมได้ โดยปี 66 จีนนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทยเป็นอันดับที่ 3 ส่วนแบ่ง 8.02% ของมูลค่าการนำเข้าของจีน รองจากสหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา เรื่องตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน พบว่า ปี 66 สุนัขและแมวในเขตเมืองทั่วจีนมีมากกว่า 120 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 4% โดยเป็นแมวถึง 70 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 7% และสุนัข 52 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 1% ส่งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น โดยปี 66 มูลค่าการบริโภคอาหารแมว เพิ่มขึ้น 7.6% มูลค่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนอาหารสุนัข เพิ่มขึ้น 4% มูลค่า 10,500 ล้านเหรียญฯ โดยมีมณฑลเหลียวหนิงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในจีน
ส่วนปัจจัยสำคัญที่จะให้อาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้าจากต่างประเทศเติบโตได้ดีในจีน เพราะ 1. สินค้าต้องวางจำหน่ายสม่ำเสมอ ไม่ขาดตลาด 2. อาหารสัตว์เลี้ยงต้องสดใหม่ ผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญกับวันหมดอายุ 3. ต้องควบคุมราคาไม่ให้แตกต่างกันมากในแต่ละช่องทางการจำหน่าย เนื่องจากตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจีนมีการแข่งขันกันสูงและรุนแรง และ 4. บรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงต้องมีสีสันสวยงามและสะดุดตา รวมทั้งควรมีข้อมูลอธิบายเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการและคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์
นายพูนพงษ์ กล่าวต่อว่า ปี 66 ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 2,092 ล้านเหรียญฯ หรือ 72,250 ล้านบาท หดตัว 15% จากปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รองลงมา ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และออสเตรเลีย ส่วนปี 67 ช่วง 8 เดือน มูลค่าการส่งออก 1,769.4 ล้านเหรียญฯ หรือ 63,453 ล้านบาท ขยายตัว 34.2%
“จีนเป็นตลาดศักยภาพที่น่าสนใจสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยง โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยสามารถเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน โดยควรศึกษารสนิยม พฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ”