ข้อมูลวิเคราะห์ของ Property DNA ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ธุรกิจอสังหาฯ นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจ รวมไปถึงความไม่แน่นอนที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย
เนื่องจากการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ สัก 1 ยูนิต ต้องขอสินเชื่อธนาคาร และเป็นการสร้างภาระหนี้สินในระยะยาว ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี หรือผู้ซื้อไม่มีความมั่นใจในการเงิน อนาคตของหน้าที่การงาน ก็ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจ ยิ่งในยุคนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เต็มที่ หนี้ครัวเรือนสูง ทำให้ธนาคารยิ่งเข้มงวด
อย่างไรก็ตาม ในสายตานักลงทุนต่างชาติ “อสังหาฯ ไทย” ยังถูกมองว่ามีโอกาสและโดดเด่นในการเข้ามาลงทุน เมื่อเทียบกับประเทศหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่มักเข้ามาจับมือร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ ๆ
ซึ่งข้อมูล 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีทั้งกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลี ฯลฯ เข้ามาร่วมพัฒนาโครงการต่าง ๆ นับมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งการถือหุ้นหรือลงเงินลงทุนในสัดส่วน 49% ของมูลค่าโครงการ
โดย 1 ในบริษัทอสังหาฯ ที่มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นมายาวนาน และมีจำนวนโครงการรวมไปถึงเงินลงทุนร่วมกันจำนวนมากที่สุด คือ บมจ. เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ร่วมทุนกับทาง “ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป” กลุ่มบริษัทอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในเมืองโอซาก้า ซึ่งมีบริษัทแม่ดำเนินธุรกิจขนส่งมวลชนทั้งในเมืองและนอกเมืองของญี่ปุ่น
ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2016 ที่ฮันคิวฯ เริ่มเข้ามาลงทุนกับเสนาฯ เป็นเวลากว่า 8 ปี มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม ในทำเลกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ของไทย รวมแล้ว 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน หรือเท่ากับมูลค่าโครงการที่เกิดขึ้นมากกว่า 10,000 ล้านบาท ต่อปีเลยทีเดียว
ล่าสุด “เสนา - ฮันคิว ฮันชิน” ประกาศเสริมแกร่งธุรกิจไปอีกขั้น ผ่านการเปิดตัวบริษัทร่วมทุน “เสนา เอชเอชพี” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปลี่ยนผ่านการร่วมทุนเป็นรายโครงการอย่างในอดีต ซึ่งนอกจากเป็นการตอกย้ำพันธมิตรทางธุรกิจที่เหนียวแน่น อีกนัยยังสะท้อนได้ว่าญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในระยะยาวต่อตลาดอสังหาฯ ไทยอีกด้วย
“มาซะฮิโกะ โทดะ” กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2016 ที่บริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และได้ตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จากความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเสนาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย รวมถึงการมีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน
ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจร่วมกันในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ขณะ บมจ. เสนาฯ นับว่าเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแข็งแกร่ง กลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนำมาซึ่งความสำเร็จของจำนวนโครงการข้างต้น
ซึ่งการยกระดับความร่วมมือกันครั้งนี้ โครงการต่าง ๆ จะถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ผ่านการลงทุนเฉลี่ย 4-7 โครงการต่อปี ในทุกระดับราคาที่อยู่อาศัยที่เป็นโอกาส (1-12 ล้าน) เฉลี่ยเงินลงทุนราว 2,500 ล้านเยนต่อปี
ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนนอกญี่ปุ่นของบริษัทที่สูงที่สุดอันดับ 1 ราว 50% รองลงมากระจายในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากบริษัทมองเห็นศักยภาพและโอกาสของอสังหาฯ ไทย โดดเด่นกว่าเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะความก้าวหน้าของการพัฒนาเมือง และการขยายเส้นทางคมนาคมใหม่ ๆ อย่างโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนที่ดินทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าเป็นโอกาส
แม้ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ณ ขณะนี้ จะถูกมองว่าเปราะบาง อัตราเด็กแรกเกิดลดน้อยลง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตตามวัฏจักร และดีมานด์ที่อยู่อาศัยยังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ด้าน ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) SENA กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวที่สำคัญของการเติบโตร่วมกัน แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายจากปัจจัยลบ เพิ่มความมั่นคงในด้านเงินทุน ความเชื่อมั่นในสถานภาพทางการเงิน การบริหารจัดการต้นทุนที่จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอีกด้วย
สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจและสร้างโอกาสในการเติบโต ภายใต้บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น เพื่อการพักอาศัยเป็นหลัก ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง และพร้อมพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมครบทุกเซกเมนต์ และกระจายอยู่ในทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รองรับทั้งตลาดผู้ซื้อคนไทยและคนต่างชาติ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ ตลาดต่างชาติมีแนวโน้มฟื้นตัวดี ทั้งการเพิ่มขึ้นของผู้ซื้อชาวพม่า การกลับมาของชาวจีน อินเดีย ไต้หวัน แต่ “เสนา เอชเอชพี” จะเน้นตอบโจทย์ผู้ซื้อคนไทยเป็นหลักก่อน โดยเฉพาะโอกาสในตลาดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ และคอนโด โลว์คาร์บอน ที่จะเดินหน้าพัฒนาและต่อยอดให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด พร้อมผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ จากญี่ปุ่นเพื่อร่วมสร้าง Decarbonized Lifestyle ให้กับลูกบ้าน และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ผู้บริหารเสนาฯ ยังกล่าวให้ความเห็นถึงภาวะตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวม หลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า โรงงานปิด และหนี้ครัวเรือนสูง โดยยอมรับว่ามีผลกระทบบ้างกับตลาดที่อยู่อาศัยบางเซกเมนต์ และบางทำเลที่อาศัยผู้ซื้อกลุ่มพนักงาน เพราะชั่วโมงทำงานน้อยลง เงิน OT ลดลง ทำให้ตลาดโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากสุด
ทำให้บริษัทต้องปรับแผนและเป้าหมายรายปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพจริงของตลาด รวมไปถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ การตลาด และแนวทางช่วยเหลือลูกค้าใหม่ ๆ ด้วย โดยเฉพาะการลงทุนอย่างปลอดภัย เพื่อให้เหมาะสมกับดีมานด์
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney