สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด ยังคงน่าเป็นห่วง ครอบคลุมพื้นที่ จ.น่าน จ.เชียงราย และ จ.เพชรบูรณ์ ขณะปริมาณน้ำเหนือเริ่มไหลลง จ.สุโขทัย แล้ว (น้ำยมล้นแนวกั้น)
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา เผยแนวโน้มปัญหาน้ำท่วมจากแบบจำลองสถานการณ์ความละเอียดสูงว่า ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมยาวไปถึงเดือนพฤศจิกายน ประเทศไทยยังมีโอกาสเจอกับฝนตกหนัก และอิทธิพลจากพายุช่วงปลายฤดู ซึ่งคาดว่าจะยังคงเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก 14-15 ลูก แต่มีโอกาสพัดผ่านประเทศไทย 1-2 ลูก
ดังนั้น ทั้งภาครัฐและประชาชน จึงต้องติดตามเส้นทางพายุดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น พร้อมย้ำความกังวลที่ว่า การเกิดน้ำท่วมใหญ่ ปริมาณน้ำไม่จำเป็นต้องเท่ากับปริมาณปี 2554 แต่ระดับน้ำและความรุนแรงอาจจะมากกว่าได้ เนื่องจากการบีบอัดลำน้ำ การป้องกันตนเองของพื้นที่ตอนบน ดังนั้นให้เฝ้าระวังพื้นที่แนวต่อเนื่อง เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าต่อชีวิต ทรัพย์สินประชาชน และน้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ
ย้อนไปช่วงน้ำท่วมปี 2554 ได้สร้างความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก และส่งผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย ก่อนเกิดการผลักดันให้มีการย้ายฐานการผลิตออกจากพื้นที่เสี่ยงต่างๆ
อย่างไรก็ดี การปิดโรงงานเพียงหนึ่งโรงงานในพื้นที่น้ำท่วม บางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดของเครือข่ายอุตสาหกรรมของภูมิภาคและของโลกได้
ดังนั้น การป้องกันไม่ให้น้ำไหลหลากจากภาคเหนือเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ใจกลางของประเทศ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
ในมุมมองของนักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมืองอย่าง รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า หากครั้งนี้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับปี 2554 อีก จะสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบป้องกันภัยพิบัติอุทกภัยอย่างชัดเจน
เพราะหากนับเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนการผลิตนั้น มีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงภาคการผลิตไม่ต่ำกว่า 16 ประเทศ ความเสียหายทางเศรษฐกิจภาคการผลิต และการลงทุนของผลกระทบน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคและของโลก จึงไม่จำกัดเพียงเศรษฐกิจไทยเท่านั้น
แต่ปัญหาที่ชวนขบคิดมากกว่าแค่ระยะสั้น คือ คาดการณ์ที่ว่านับจากนี้ ไทยจะเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ชาวไทยยังหลีกเลี่ยงจากปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าขั้นวิกฤติหลายมิติ หลายลักษณะด้วยกัน
ทั้งปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ฝนตกหนัก น้ำท่วมรุนแรงจากปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวพันกับภาวะโลกร้อน พบว่าปรากฏการณ์ลานีญา อาจยาวนาน 9-12 เดือน และทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง ปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม.
ขณะปัญหาเรื้อรัง หมอกควัน และ PM 2.5 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อาศัยรายได้หลักจากการท่องเที่ยว สถานการณ์ได้เลวร้ายจนหลายจังหวัดในภาคเหนือมีมลพิษทางอากาศและหมอกควันสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังระบุว่า หากรัฐบาลปล่อยให้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งเกิดซ้ำซากทุกปี มลพิษทางอากาศเกิดขึ้นทุกปี เมื่อประเทศไทยจะอยู่ในสภาพน้ำท่วม บวกภัยแล้ง บวกอากาศร้อนรุนแรง บวกมลพิษทางอากาศ หมอกควัน รวมกันยาวนานเกินกว่า 4 เดือนขึ้นไปต่อปี
จะทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตรุนแรงมากขึ้น จากการประเมินเบื้องต้น พบว่าในส่วนของผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปีได้
อีกทั้งความเสียหายเหล่านี้ยังไม่ได้คำนวณผลกระทบต่อสุขภาพ ผลกระทบต่อการย้ายถิ่น ที่จะทำให้รายจ่ายด้านสาธารณสุขและต้นทุนทางสังคมเพิ่มขึ้นในระยะยาว
"การสูญเสียทางเศรษฐกิจเกิดจากการลดลงของรายได้ ความเสียหายทางทรัพย์สิน ความเสียหายทางด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต จากการชะลอตัวลงของการท่องเที่ยวและการเดินทาง ภัยพิบัติเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน"
เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ ครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผู้มีรายได้น้อยและคนจนในพื้นที่ภัยพิบัติ มักจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร และผู้ใช้แรงงานในเขตพื้นที่ภัยพิบัติ เป็นต้น
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney