นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และรักษาการ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายออลจัส เบคเตนอฟ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน ระหว่างการเดินทางเยือนคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 14 ส.ค.67 ว่าได้แจ้งนายกรัฐมนตรีคาซัคสถานว่า ไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญของคาซัคสถาน ในฐานะประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพและเป็นประตูการค้า นำสินค้าไทยไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียกลาง สมาชิกเศรษฐกิจยูเรเซีย โดยการเดินทางเยือนครั้งนี้ นอกจากลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย-คาซัคสถานแล้ว ยังจะสำรวจตลาดและโอกาสของสินค้าไทย รวมถึงประชาสัมพันธ์สินค้าและธุรกิจบริการไทยในตลาดนี้ ตลอดจนเพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางที่เหมาะสมในการขนส่งและกระจายสินค้าไทยไปยังคาซัคสถานและเอเชียกลางที่ไม่มีทางออกทะเล
“กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและคาซัคสถาน กับนายอาร์มัน ชักคาลีเยฟ รมว.การค้าและบูรณาการ และพบหารือกับนายมิรกาลี คูนาเยฟ กงสุลกิตติมศักดิ์ของไทยแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน เกี่ยวกับลู่ทางในการขยายการค้าระหว่างกัน รวมถึงการเปิดสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ของกระทรวงพาณิชย์ในคาซัคสถาน เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการค้าระหว่างกัน”
นายภูมิธรรมกล่าวว่า นอกจากนี้ ไทยได้เริ่มเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับยูเรเซีย จึงขอการสนับสนุนจากคาซัคสถานด้วย ขณะที่การท่องเที่ยวสองฝ่ายได้ลงนามการยกเว้นวีซ่าตั้งแต่เดือน เม.ย.67 ก็หวังว่าจะมีการท่องเที่ยวระหว่างกันเพิ่มขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และรักษาการ รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า คาซัคสถานได้หารือถึงการขออนุญาตจัดตั้งสถานกงสุลคาซัคสถานในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งตนเห็นว่าจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศมากยิ่งขึ้น และช่วยอำนวย สะดวกชาวคาซัคสถานที่มาท่องเที่ยวในไทย โดยจะประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อติดตามความคืบหน้าต่อไป ส่วนการพิจารณาคำขออนุญาตนำเข้าสินค้าเนื้อสัตว์ของคาซัคสถาน ทราบว่ากรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขออนุญาตการนำเข้าเนื้อโคของคาซัคสถาน 10 บริษัท ซึ่งจะช่วยเร่งรัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้พิจารณาโดยเร็ว
“สำหรับการค้าไทยกับคาซัคสถาน แม้จะยังไม่มากนัก แต่ก็มีศักยภาพและแนวโน้มการขยายตัวได้ในอนาคต โดยในปี 66 คาซัค สถานเป็นคู่ค้าอันดับที่ 90 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 171.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 26.28%”.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่