ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 14 ส.ค.67 ว่า ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญลงมติ 5 ต่อ 4 ให้นายเศรษฐา ทวีสิน ขาดคุณสมบัติเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นกดดัชนีปรับตัวดิ่งลงรุนแรง โดยลงไปต่ำสุด 1,280.99 จุด ลดลง 16.80 จุด ก่อนจะพยุง ตัวมาปิดตลาดที่ระดับ 1,292.69 จุด ลดลง 5.10 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 53,352.88 ล้านบาท พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ที่เทขายสุทธิหนักสุด 2,021.82 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 438.41 ล้านบาท
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าภาคเอกชนรู้สึกช็อก เพราะนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศต้องกลับไปทบทวนว่าการลงทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศฝั่งอเมริกา สหภาพยุโรป อาจให้น้ำหนักในเรื่องการเมืองมาก เรียกว่าซีเรียสเลยก็ว่าได้ ทำให้มีนักธุรกิจหลายรายต้องการความชัดเจน และมีการสอบถามพูดคุยกับ ส.อ.ท. อยู่ตลอดเวลา
“ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นจังหวะสำคัญ และปัจจัยที่เป็นตัวพิจารณาสำหรับนักลงทุนคือเรื่องการเมือง ที่ไทยต้องมีการเมืองที่มีเสถียรภาพ เราไม่มีความต่อเนื่องมานาน เปลี่ยนขั้วพรรคการเมืองตลอดเวลา ซึ่งตั้งแต่มีคดีเรื่องนี้กว่า 80 วัน ทุกคนก็ชะลออยู่แล้วและรอดูกันอยู่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ทุกฝ่ายมีการติดตามผล เมื่อผลการตัดสินออกมาก็ถือว่าช็อก ทำให้การตัดสินใจลงทุนชะงัก”
ขณะที่ตลอดระยะเวลาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนตัวคิดว่าเราต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลในชุดของนายเศรษฐา เพราะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ในช่วงที่เกิดความท้าทายของโลกมากมาย ทั้งเรื่องสงครามการค้า เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การที่ต้องเลือกข้าง การย้ายฐานการผลิตจำนวนมากที่ไม่เคยรุนแรงและเข้มข้นขนาดนี้มาก่อน รวมถึงปัญหาสะสมของประเทศไทย ที่ลึกไปเชิงโครงสร้างมาตั้งนาน แต่ว่าท่านนายกฯก็สามารถเข้ามาทำงาน ปรับตัว และใช้เวลาไม่มาก 3-4 เดือน ก็เริ่มพอเข้าใจในหน้าที่และมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องต่างๆได้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในส่วนของเศรษฐกิจ ต้องบอกว่ากระทบความเชื่อมั่นของประเทศในระยะสั้น โดยเฉพาะโครงการและแผนงานต่างๆที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในขณะนี้ ในช่วงที่จะต้องรอเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ พร้อมทั้ง ครม.ชุดใหม่ ซึ่งมีกระบวนการไม่น้อยกว่า 1 เดือน เชื่อว่าจะมีการเร่งกระบวนการให้จบสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ และไม่น่าจะกระทบประมาณการเศรษฐกิจปีนี้
ด้านนายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่าการพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่กระทบกับเรื่องการท่องเที่ยว เพราะเดี๋ยวก็ต้องมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาอยู่แล้ว และอยากให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ใส่ใจเรื่องท่องเที่ยว ดำเนินนโยบายเชิงรุกเหมือนนายกฯเศรษฐา ที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาได้เร็ว รวมทั้งขอให้เน้นเรื่องความสะดวก ปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า คาดว่าจะมีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคเพื่อไทย เพราะต้องการขับเคลื่อนดิจิทัลวอลเล็ตให้เศรษฐกิจไม่หยุดชะงัก ซึ่งเป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทย มั่นใจว่าจะตั้ง ครม. และนายกฯใหม่ได้ภายใน 1 เดือน ดังนั้น กรณีนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นนักลงทุนลง คาดว่า ทั้งปีเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเติบโตได้ 2.4-2.6% ตามที่ได้คาดการณ์.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่