นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ตามที่ สนข.ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ...และกระทรวงคมนาคมได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วนั้น ความคืบหน้าในขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมก่อนนำเสนอเข้า ครม.เห็นชอบ และตามขั้นตอนจะต้องนำร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา และเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบต่อไป โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายใน ก.ย.68 ซึ่งสอดรับกับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทสูงสุดตลอดสาย รวมทั้งจะมีการจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษาการจัดทำกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จก่อนเดือน ก.ย. 68 ไปพร้อมกัน
นายปัญญากล่าวต่อว่า ส่วนการจัดทำกฎหมายลูกของระบบตั๋วร่วม 17 ฉบับ นั้นมีสาระสำคัญ โดยมุ่งเน้นการจัดมาตรฐานของบัตรโดยสารที่ครอบคลุมการเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ระบบราง การโดยสารทางเรือ รถโดยสารสาธารณะ, อัตราค่าโดยสารร่วม, เทคโนโลยีการอ่านบัตรโดยสาร, การแก้ปัญหาระบบรถไฟฟ้าข้ามสาย, การจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมถึงการจัดตั้งกองทุนระบบตั๋วร่วมเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่เอกชนที่เข้าร่วมระบบดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาการเดินหน้าระบบตั๋วร่วมไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดการบังคับใช้ของกฎหมาย สนข.จึงได้เร่งรัด พ.ร.บ.ตั๋วร่วม เป็นหลักก่อน เพื่อรองรับให้โอเปอเรเตอร์แต่ละรายสามารถเข้าสู่ระบบเดียวกันได้
ส่วนนโยบายค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสายนั้น จะใช้อัตราค่าโดยสารร่วม ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะมีการจัดตั้งกองทุนระบบตั๋วร่วมเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่เอกชน จากการศึกษาของกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ระบุว่าในช่วง 4-5 ปีแรก ต้องมีการชดเชยรายได้ให้แก่เอกชนที่เข้าร่วมนโยบายค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย จากนั้นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณผู้โดยสารจะชดเชยได้ด้วยตนเอง โดยที่ภาครัฐไม่ต้องชดเชยรายได้อีก.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่