นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีในการสนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาทำงานในประเทศ โดยเฉพาะบุคลากรที่มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญใน การพัฒนาประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ระยะเวลาให้สิทธิประโยชน์ แก่ผู้เข้าร่วมมาตรการ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 โดยมีรายละเอียดมาตรการ ดังนี้
ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายตามที่กฎหมายกำหนด และได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) จะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่หักภาษี ณ ที่จ่ายเหลือ 17% ของเงินได้ เมื่อคำนวณเงินได้แล้วต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า 17% โดยต้องเป็นเงินได้ พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายตามกฎหมายที่ว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สามารถหักรายจ่ายที่จ่ายเงินเดือนตามสัญญา
จ้างแรงงานของลูกจ้าง ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ได้จำนวน 1.5 เท่า โดยเป็นการจ่ายเงินเดือนระหว่างวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
1.ผู้เข้าร่วมมาตรการจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
2.ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กรมสรรพากรกำหนด
3.หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ ทางภาษีตามมาตรการนี้กรมสรรพากรสามารถกำหนดเพิ่มเติมได้ตามสมควร
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประสงค์จะใช้สิทธิต้องแจ้งรายละเอียดของผู้มีเงินได้ที่เป็นลูกจ้างซึ่งจะใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยต้องมีข้อความและเอกสารประกอบอย่างน้อยตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากร กำหนดผ่านสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบกิจการ ตั้งอยู่ภายในวันสุดท้ายของปีภาษีแรกที่ผู้มีเงินได้ ใช้สิทธิในการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเป็นผู้รับรองว่าข้อมูลและเอกสารที่แจ้งต่อกรมสรรพากรมีความถูกต้องและเป็นความจริง
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคาดว่า กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศและไม่เคยเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย ดังนั้น การดำเนินมาตรการนี้อาจเป็นการเพิ่มการจัดเก็บรายได้ให้แก่รัฐบาล ส่วนกรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล คาดว่าจะสูญเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 120 ล้านบาทจากการคาดการณ์ว่าจะมีคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศกลับเข้ามาทำงานในประเทศจำนวนประมาณ 500 คน
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney