นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า ได้ข้อยุติที่จะตรึงค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.67 ไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยตามเดิม ซึ่งต้องขอขอบคุณ กฟผ.ที่บริหารจัดการภายในขององค์กรที่จะช่วยเหลือประชาชนซึ่งต้องให้เครดิตทั้ง กฟผ.และทางบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ไม่รับเงินค่าตอบแทนใดๆจากค่าไฟฟ้าในงวดนี้เลยเพื่อจะช่วยพี่น้องประชาชน
ส่วนราคาน้ำมันกระทรวงพลังงานก็พยายามตรึงไว้ที่ราคาเดิม แต่ที่เคยพูดไว้ว่ากองทุนพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้เป็นกลไกหลักมานานมากสำหรับการดูแลเรื่องราคาน้ำมันให้พี่น้องประชาชน ซึ่งนับวันก็เป็นภาระหนี้สินมากขึ้น และโดยเฉพาะตามหลักเกณฑ์ที่ออกมาใหม่ทำให้อำนาจของกองทุนน้ำมันหายไปส่วนหนึ่ง คืออำนาจการกำหนดเพดานภาษี โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พี่น้องประชาชนจ่ายหน้าปั๊มน้ำมันประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นราคาเนื้อน้ำมันแท้ๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของภาครัฐ คือภาษี เพราะฉะนั้นการจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ไม่ใช่แค่เนื้อน้ำมันแต่ต้องปรับลดภาษีด้วย แต่เดิมอำนาจการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิตตัวนี้เป็นอำนาจของกองทุนน้ำมั นแต่ปัจจุบันถูกตัดออกเลยเป็นภาระที่จะนำเงินจากกองทุนไปใช้อย่างเดียว ดังนั้นกฎหมายตัวนี้จึงต้องปรับปรุง
“เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ สิ่งที่กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการและพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซลกลุ่มนี้ไว้ให้ได้ที่ประมาณ 33 บาทต่อลิตร ก็จะต้องให้หน่วยงานอื่นช่วยกันเช่นเดิม แต่ก็อยู่ที่ความร่วมมือของส่วนราชการอื่นด้วย แต่ในส่วนของกระทรวงพลังงานจะทำเต็มที่ ส่วนกรณีมีคนถามว่า ทำไมราคาน้ำมันดีเซลมาเลเซียถูกกว่าเมืองไทยนั้น ก็เป็นเพราะว่ารัฐบาลของมาเลเซียเอาเงินงบประมาณมาช่วยดูแลเหมือนกองทุนน้ำมันต่อปีเกือบ 400,000 ล้านบาท”.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่