นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระหว่างการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ว่า ได้เน้นย้ำให้ รฟม.ส่งมอบเข้าพื้นที่ให้เป็นไปตามแผนงานและตามระเบียบกฎหมาย กำกับควบคุมงานก่อสร้างอย่างเคร่งครัด และให้ รฟม. และ BEM ผู้รับสัมปทาน เร่งรัดการดำเนินงานติดตั้งระบบรถไฟฟ้าในส่วนตะวันออกช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่ง ประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าในส่วนตะวันออกได้ก่อนภายในปลายปี 2570 และเร่งเปิดให้บริการตลอดทั้งเส้นทาง ทั้งส่วนตะวันออกและตะวันตกให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดการในเดือน พ.ย.2573 ต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการดังกล่าว จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบดันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี ขยายตัวขึ้นประมาณ 0.1 % เนื่องจากจะมีการจ้างงานมากกว่า 30,000 คน ขณะเดียวกันจะมีการลงทุนซื้อวัสดุก่อสร้างต่างๆมากกว่า 80,000 ล้านบาท ในโครงการ นอกจากนั้น โครงการยังจะทำให้ประชาชนเดินทางเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าได้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯมากยิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยขยายความเจริญจากกรุงเทพฯสู่ปริมณฑล ในส่วนของค่าโดยสารที่จะจัดเก็บ ยืนยันว่าจะนำรถไฟฟ้าสายสีส้มเข้าร่วมมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้าในอัตราไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสายด้วย
ด้านนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ( BEM) กล่าวว่า หลังจากลงนามในสัญญา BEM พร้อมเข้าพื้นที่ก่อสร้างภายใน 1-2 เดือนนี้ โดยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันออก BEM จะเร่งจัดหารถมาให้บริการภายในปลายปีนี้ จำนวน 30 ขบวน รวมถึงจะเร่งติดตั้งระบบรถไฟฟ้า เพื่อให้รถไฟฟ้าสายสีส้มเปิดบริการภายในปลายปี 2573 ส่วนอัตราค่าโดยสารที่จะจัดเก็บนั้น ทาง BEM จะปรับลดอัตราค่าโดยสารลง โดยจะจัดเก็บเริ่มตั้งแต่ 17-42 บาทต่อคน จากอัตราเดิมจัดเก็บค่าโดยสารที่ 20-65 บาทต่อคน.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่