เงินทุนสะสมเริ่มไม่พอ! กลุ่ม SMEs อสังหาฯ จมวิกฤติ ขอรัฐบาลเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ก่อนต้องปลดคนงาน

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินทุนสะสมเริ่มไม่พอ! กลุ่ม SMEs อสังหาฯ จมวิกฤติ ขอรัฐบาลเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ก่อนต้องปลดคนงาน

Date Time: 18 ก.ค. 2567 14:11 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • ตลาดที่อยู่อาศัย ดิ่ง! พ่นพิษ ธุรกิจห่วงโซ่ตั้งแต่รับเหมาก่อสร้างยันจัดสวน กลุ่มผู้ประกอบการรวมตัวแสดงจุดยืน ธุรกิจวิกฤติกว่าช่วงต้มยำกุ้ง บางแห่งเงินทุนสะสมเริ่มไม่พอ เริ่มประคองชีวิตลูกจ้างไม่ไหว ระบุ ถ้ารัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เพิ่มเติม อาจได้เห็นภาพปลดลดคนงาน ผลกระทบโดมิโน กำลังซื้อ แบบวงกว้าง!

“ปัจจุบัน บริษัทดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 32 แล้ว มีพนักงานภายในองค์กรประมาณ 470 คน ต้องยอมลดสัดส่วนกำไรเพื่อให้ได้มีปริมาณงานเข้ามาหล่อเลี้ยงองค์กร เป็นการรักษาสถานะบริษัทให้คงอยู่และให้ทุกคนในบริษัทยังมีงานทำ”

“พนักงานภายในองค์กรประมาณ 215 คน เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวอย่างมาก จนส่งผลกระทบให้บริษัทไม่มีการเรียกสินค้าเข้าโครงการต่างๆ (ไม่มียอดรายการในการผลิตงาน) ไปจนถึงรายการที่ผลิตแล้วเลื่อนส่งสินค้าแบบไม่มีกำหนด”

นี่คือประโยคบอกเล่าบางส่วนของกลุ่มธุรกิจ SMEs ในห่วงโซ่ซัพพลายภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งบริษัทประเภทผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ออกแบบ โรงงานวัสดุก่อสร้าง กลุ่มผู้ประกอบการด้านการตกแต่งสถานที่และการจัดสวน 

ซึ่งบางแห่งเผยว่า ดำเนินธุรกิจมายาวนานมากกว่า 60 ปี บางรายเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่เพิ่งเปิดกิจการมาได้ไม่ถึง 10 ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือต้นทุนกิจการที่กำลังแบกชีวิตพนักงานตั้งแต่หลับสิบไปจนถึงห้าร้อยชีวิต ให้อยู่รอดผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ 

จนนำมาสู่การรวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ห้มากขึ้น อย่างเร่งด่วน ก่อนจะเกิดผลกระทบลุกลามจนนำไปสู่การปลดคนงาน ส่งผลต่อกำลังซื้อของประเทศในวงกว้าง 

SMEs อสังหาฯ ลุกฮือ ชี้วิกฤติรอบนี้หนักกว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง 



โดยในแถลงการณ์ กลุ่ม SMEs อสังหาฯ ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบในเรื่องของปริมาณงานที่ได้ต่อเนื่อง จากตลาดอสังหาฯ ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด บางแห่งการเงินเริ่มมีความฝืดเคือง เนื่องจากภาระเงินกู้และดอกเบี้ยธนาคารที่กู้ยืมในช่วงโควิด-19

ทำให้พนักงานภายในบริษัทขาดสภาพคล่องในการดำเนินชีวิต ส่งผลกระทบทั้งบริษัทและพนักงานทุกครัวเรือน เพราะผลกระทบต่อเนื่อง จากตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว แผนงานชะลอในทุก Developer ทำให้รายรับลดลง 

 

บ้างได้รับผลกระทบหนักจากลูกค้าค้างชำระหนี้การค้าเป็นเวลายาวนานเสี่ยงหนี้สูญ จนต้องกู้เงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมากเพื่อให้บริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอ

ใจความที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ระบุว่า วิกฤติที่เผชิญอยู่ในขณะนี้รุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยเผชิญมา และเทียบได้กับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ถึงแม้จะมองดูผิวเผินไม่ได้รุนแรงเท่าปี 2540 

นั่นเพราะว่าปี 2540 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มองเห็นความเสียหายได้ชัดเจน แต่ในวิกฤติครั้งนี้เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเริ่มชัดเจนในช่วงโควิด-19 และในครั้งนั้นผู้ประกอบการได้ปรับตัวรอบใหญ่ไปแล้ว ทั้งการปรับโครงสร้างพนักงาน การปรับลดสวัสดิการ ลดเวลาการทำงาน การขยายฐานลูกค้าใหม่ 

อย่างไรก็ตาม ภาระเงินกู้และดอกเบี้ยธนาคารที่กู้ยืมในช่วงโควิด-19 ยังคงส่งผลให้การเงินในปัจจุบันมีความฝืดเคือง ซึ่งหลายแห่งพยายามบริหารจัดการและรับมืออย่างเต็มกำลัง 

แต่หากสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ ยังไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะส่งผลกระทบลุกลามไปสู่การปลดพนักงานก็เป็นได้ ซึ่งส่วนนี้จะส่งผลต่อฐานกำลังสำคัญของประเทศ เนื่องจากภาค SMEs ถือเป็นผู้จ้างงานที่คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดของประเทศไทย

7 ข้อเรียกร้อง ประคองธุรกิจอสังหาฯ 


จึงอยากส่งเสียงถึงรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยข้อเสนอแนะ ประกอบไปด้วย 7 ข้อเรียกร้อง ดังนี้ 

  1. มาตรการซอฟต์โลนสำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้สามารถนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน ให้สามารถรับมือกับสถานการลูกหนี้การค้าค้างชำระเงินนานขึ้นได้
  2. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก รวมถึงยกเลิกมาตรการ LTV สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 และที่ 3
  3. มาตรการดึงกำลังซื้อจากกลุ่มคนทำงานที่เป็นต่างชาติ (Expat) เช่น ขยายเพดานการถือครองที่ดิน เป็น 99 ปี และขยายเพดานสัดส่วนการซื้อคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเป็น 75%
  4. มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน ด้วยการลดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการโอนและการลดหย่อนภาษี
  5. ลดภาษีนำเข้าสำหรับภาคการผลิต เพื่อช่วยลดราคาต้นทุนการผลิต
  6. ลดค่าสาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงลดเงินสมทบในการนำส่งประกันสังคม
  7. จัดตั้งหน่วยงาน หรือองค์กรเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการ เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำ

นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลออกมา รวมถึงอยู่ระหว่างการพิจารณา มองว่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี ซึ่งอยากจะร้องขอภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันในการทำงาน สนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง เพื่อบรรเทาปัญหาที่อาจจะก่อให้เกิดวิกฤติในกลุ่มของตนในอนาคตอันใกล้นี้ หลังปัจจุบันผู้ประกอบการหลายภาคส่วนได้ทำการปลดพนักงานไปแล้วจำนวนมาก บางแห่งลดพนักงานไปมากกว่าครึ่ง.

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ