นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีบุหรี่ใหม่ จากปัจจุบันที่แบ่งเก็บภาษีมูลค่าเป็น 2 ช่วงราคา ให้เหลือเป็นช่วงราคาเดียว ส่วนภาษีในเชิงปริมาณบุหรี่ ยังคงไว้อัตราเดียวเหมือนเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดเก็บเป็นไปตามหลักสากลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย เนื่องจากการศึกษาข้อมูลพบว่า ที่ผ่านมาทั่วโลกมีการเก็บภาษีบุหรี่เป็นแบบอัตราเดียวเหมือนกันทั้งหมด ยกเว้น 7 ประเทศในโลกมีการเก็บภาษีบุหรี่หลายอัตราเหมือนไทย ส่วนรายละเอียดจะปรับภาษีมูลค่าเป็นเท่าไร หรือจะมีการขึ้นภาษีปริมาณหรือไม่นั้น จะขอหารือกับผู้มีส่วนได้เสียก่อน เพื่อให้ได้ข้อสรุป และเสนอให้กระทรวงการคลังเห็นชอบ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีงบประมาณนี้
นายเอกนิติกล่าวว่า สำหรับหลักการพิจารณาเก็บภาษีบุหรี่อัตราเดียว จะพิจารณา 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.ขนาดตลาดของบุหรี่ที่ลดลงทั่วโลก สวนทางกับปัญหาบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
2.คำนึงถึงเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบในประเทศไทย จะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
3.การเก็บภาษีบุหรี่เหลืออัตราเดียวต้องไม่กระทบกับการเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต
4.อัตราภาษีบุหรี่อัตราเดียวต้องเป็นสากลและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศและผู้นำเข้าบุหรี่ต่างประเทศ
5.ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยของสุขภาพตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
“หลังจากนี้ กรมขอหารือทั้ง 5 ภาคส่วน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ทุกคนรับได้และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ปัจจุบันการเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของไทย มีการเก็บตามปริมาณ 1.20 บาทต่อมวน และเก็บตามมูลค่าแบ่งเป็น 2 อัตรา คือ หากราคาขายปลีกแนะนำไม่เกินซองละ 72 บาท เสียภาษีตามมูลค่าในอัตรา 25% ส่วนบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกแนะนำเกินซองละ 72 บาท เสียภาษีที่อัตรา 42%”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่