นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 20 มิ.ย.67 ได้ทานข้าวและพูดคุยกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จนถึงดึก เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัญหาในตลาดหลักทรัพย์ และอีกหลายเรื่อง ซึ่งเข้าใจว่าในวันที่ 24 หรือ 25 มิ.ย.นี้ จะมีการแถลงใหญ่ถึงมาตรการระยะสั้น กลางและยาว
ส่วนกรณีที่นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับกรอบเงินเฟ้อ นายกฯตอบว่า ก็ต้องพูดคุยกันต่อไป เป็นหน้าที่ของนายพิชัย ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายแนวทางที่เราสามารถ พูดคุยกันได้ ท่านคุยกับสื่อต่างประเทศอย่างเดียวเลยหรือ ไม่คุยกับสื่อไทยเลยหรือ ก่อนจะหันมายิ้มกับผู้สื่อข่าว
ส่วนกรณีสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศ ไทย ประกาศเตรียมระดมพลผู้ประกอบการรถบรรทุกจัดคาราวานเพื่อนขบวนรถบรรทุกทุกภูมิภาค เข้า กทม.ในวันที่ 3 ก.ค. หลังจากที่ยื่นหนังสือถึงนายกฯแล้วไม่ได้รับการตอบรับ นายกฯกล่าวว่า เดี๋ยวต้องไปพูดคุยกับกระทรวงพลังงานก่อน
ทางด้านนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรม การค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ประกอบการขนส่ง ประกาศปรับขึ้นราคาค่าขนส่ง 9% ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.67 เป็นต้นไป ว่า กรมจะติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด ทั้งสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ 18 หมวด และสินค้าอื่นนอกเหนือจากนี้ เพราะต้นทุนการขนส่งเป็นหนึ่งในต้นทุนของสินค้า ซึ่งจะมีมากน้อย แตกต่างกันตามน้ำหนักการขนส่ง หากสินค้าน้ำหนักมาก ชิ้นใหญ่ จะได้รับผลกระทบมาก อย่างไรก็ตาม ยังคงขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคาต่อไป
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีการแก้กฎหมายการถือครองอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุดของต่างด้าวจากเดิม 49% เป็น 75% และการเช่าที่ดินขยายจาก 50 ปี เป็น 99 ปี ว่า มี 2 เรื่อง ที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการมาโดยเรื่องแรกเป็นการถือครองที่ดินของทรัพย์อิงสิทธิ์ และเรื่องที่สองคืออัตราส่วนการถือครองคอนโดฯโดยต่างด้าว หรือเรียกว่า พ.ร.บ.อาคารชุดฉบับแก้ไข ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อสั่งการ และสั่งการไปยังกระทรวงมหาดไทย ซึ่งวันนี้เรื่องน่าจะถึงสำนักงานกระทรวงมหาดไทยแล้ว
ส่วนสาระสำคัญของการถือทรัพย์อิงสิทธิ์ เพิ่มจาก 50 ปี เป็น 99 ปี จริงๆแล้วเหมือนเดิมเนื่องจาก พ.ร.บ.เดิมเช่าได้ 50 ปี และขยายอีกได้ 50 ปี เมื่อเราเป็น 50 ปีแล้วก็ขยายเป็น 99 ปีเลย เพราะเมื่อ 50 ปีแล้วต่ออีก 50 ปีก็เป็น 100 ปีพอดี เพราะฉะนั้นต้องทำให้เป็นความยั่งยืน เพื่อจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ขณะที่การถือครองอาคารชุดเพิ่มจาก 49% เป็น 75% แต่การถือครองที่เกินกว่า 49% ขึ้นไปไม่สามารถโหวตตั้งกฎระเบียบได้ แต่การโหวตสิทธิ์อะไรยังเป็นของคนไทยอยู่ ชาวต่างชาติจะถือครองได้แต่ไม่สามารถโหวตออกเสียงได้ แต่สิ่งที่จะได้คือขายอาคารชุดได้มากขึ้น จะได้ไม่มีแต่ซัพพลายมีดีมานด์ด้วย
เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ว่าจะถูกโยงเป็นประเด็น ทางการเมืองเพื่อเอื้อให้กับบริษัทขายอสังหาริมทรัพย์บางรายที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลนั้น ในเรื่องนี้ก็พูดกันไป ถ้าพูดอย่างนี้ก็โยงได้ทุกเรื่องแต่เรื่องนี้เป็นการโยงให้ประชาชนมีโอกาสมากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องสิทธิและการถือครองประโยชน์ของคนไทยไม่มีตรงไหนเสียไปมีแต่เรียกเงินเข้ามา โดยหากไปศึกษากฎหมายนี้แบบละเอียดเรามีแต่ได้ไม่มีอะไรที่เสีย พร้อมระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ถูกยกมาตั้งนานแล้ว
ส่วนกรณีที่ว่าอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนจะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่นั้น ในเรื่องนี้ ขอให้มองว่าตอนนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ไทยไม่ได้มีบริษัทเดียวมีเป็นร้อย ระดมทุนในตลาด หลักทรัพย์ทั้งนั้น ส่วนจะนำเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณา ได้เมื่อใดนั้น ตนต้องลงนามเห็นชอบหลักการก่อน ต้องผ่านความเห็นส่วนราชการอื่นๆ รวมไปถึงความเห็นของประชาชน ซึ่งจะมีขั้นตอนไม่ใช่ว่าอยากจะทำเองแล้วทำได้ พูดได้อย่างเดียวว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ใครอย่างแน่นอน อันนี้ยืนยันได้เลยเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนให้กับประเทศไทย.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่