ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไทย ล่าสุด ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ปรากฏความน่าเป็นห่วง หลายแง่ จนอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ “เศรษฐกิจไทย” ในยามนี้ได้อย่างดี
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ REIC ให้มุมมองว่า ขณะนี้ ตลาดอสังหาฯไทย (พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล) ควรเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือ และอัตราการดูดซับที่ต่ำลงในหลายๆ ทำเล ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีอัตราการดูดซับลดลง
ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายในอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2566 รวมจำนวนสต๊อกคงค้าง 213,429 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 1,217,916 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.5%
สาเหตุสำคัญมาจากอัตราดูดซับต่อโครงการที่ต่ำลงกว่าช่วงโควิด-19
“ไตรมาสแรก อสังหาฯไทย มีอัตราดูดซับลดลงมาอยู่ที่ 2.3% หรือ ต้องใช้ระยะเวลาในการขายจนหมดถึงประมาณ 40 เดือน ในขณะที่อัตราดูดซับไตรมาส 1 ปี 2566 เคยอยู่ที่ 3.5% หรือต้องใช้ระยะเวลาในการขายจนหมดเพียงประมาณ 25 เดือน จึงอาจกล่าวได้ว่า อัตราดูดซับในไตรมาสนี้อยู่ในระดับต่ำที่ต่ำกว่าช่วงสถานการณ์โควิดที่มีอัตราการดูดซับประมาณ 2.5-2.7% ด้วยซ้ำ”
ทั้งนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือว่าตลาดจะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ จากภาวะเศรษฐกิจซึ่งยังคงมีทิศทางชะลอตัว และปัจจัยลบต่างๆ ส่งผลโดยตรงต่อยอดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ
โดย REIC คาดว่า ทั้งปี 2567 ทำเล กทม.-ปริมณฑล จะมีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย เพิ่มขึ้น 17.3% มาอยู่ที่ 246,280 หน่วย มูลค่า 1,393,395 ล้านบาท
สำหรับทำเลเฝ้าระวังจากภาวะขายออกยาก และยังคงมีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่
กลุ่มบ้านจัดสรร
กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 โครงการบ้านจัดสรรในกลุ่มราคาแพงยังคงมีอัตราการขายได้สูงกว่าระดับราคาอื่นๆ.
ที่มา : REIC
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney