นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง เพราะนอกจากเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง อายุเพียง 41 ปี เป็นหนุ่มน้อยหน้าใส กับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ภารกิจท้าทาย พิสูจน์ฝีมือ “รมช.คลัง” มือใหม่ป้ายแดง ซึ่งทำงานในตำแหน่ง รมช.คลัง มาได้กว่า 1 เดือน
โดยได้รับความไว้วางใจจาก “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่ได้หยิบยื่นโอกาสให้ “เผ่าภูมิ” กำกับดูแลหน่วยงานที่เป็นมันสมองของกระทรวงการคลัง อันได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กรมธนารักษ์
ส่วนรัฐวิสาหกิจในสังกัด คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
เผ่าภูมิเล่าว่า หลังจากเรียนจบจากต่างประเทศ ได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่ สศค.และอยู่ในหน่วยงานที่ดูแลภารกิจสถาบันการเงินของรัฐ ทำงานรับราชการเป็นเวลา 1 ปีเศษ มีบุคคลสำคัญทางการเมือง ชักชวนเข้าสู่แวดวงการเมือง และด้วยความชอบการเมืองอยู่แล้ว จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ เพราะคิดว่าการเมืองจะช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติได้มากกว่า
เมื่อเข้าสู่แวดวงการเมืองแล้วนั้น ได้ไปเรียนรู้งานจาก “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ มากกว่า 10 ปี จนเรียกได้ว่าเป็น “เด็กปั้น” ของ “ภูมิธรรม” และเป็นคนรุ่นใหม่ของ “พรรคเพื่อไทย” อนาคตไกล ด้วยดีกรีนักเรียนอก ความรู้ดี มาดดี
การถูกเลือกให้ดำรงตำแหน่ง “รมช.คลัง” น่าจะมาจากเหตุผลของประสบการณ์ที่เคยเป็นข้าราชการสังกัด สศค. ที่ได้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจ และก่อนที่จะดำรงตำแหน่ง รมช.คลัง ได้เข้ามาคลุกคลีการทำงานที่กระทรวงการคลังนานกว่า 6 เดือน ในตำแหน่งเลขานุการ รมว.คลัง เมื่อครั้ง นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งควบ รมว.คลัง
“ประสบการณ์การทำงานเมื่อครั้งเป็นข้าราชการ ที่ได้มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับสถาบันการเงินของรัฐ ทำให้มีความเข้าใจ มีความรู้ ภาพรวมทางเศรษฐกิจ จึงมองว่าการทำนโยบาย สศค.ที่คิดไว้นั้น ถ้าจะผลักดันให้สำเร็จ ต้องอาศัยทางการเมืองมาช่วยทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม”
หากจะให้นิยามตัวตนของตัวเอง จากนักวิชาการก้าวสู่แวดวงการเมือง จึงกลายเป็น “นักการเมือง-นักวิชาการ” ในคนเดียวกัน ดังนั้นจะนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ทั้งสายวิชาการ และการเมือง มาสร้าง ประโยชน์ให้ประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
การทำงานในพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ทั้งผลักทั้งดันโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต, การช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ให้เข้าถึงแหล่งทุน, มาตรการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน และล่าสุดที่เรียกเสียงฮือฮา คือ โครงการสลากเกษียณ หรือ “หวยเกษียณ” เพื่อจูงใจสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มาซื้อหวยใบละ 50 บาท ได้ทั้งออมเงินและลุ้นรางวัล หากถูกรางวัลที่ 1 รับไปเลย 1 ล้านบาท แต่หากไม่ถูกรางวัลเงิน 50 บาท จะเป็นเงินออมรองรับวัยเกษียณ
สำหรับภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ถือเป็นงานที่ท้าทายมาก โดยตนมีเป้าหมายที่จะสร้างเศรษฐกิจให้มีการเคลื่อนไหวสูง และต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และสร้างสภาพคล่องทางการเงินในทุกระดับ ซึ่งจะมีผลต่อการเข้าถึงสินเชื่อทางการเงินมากขึ้นตามไปด้วย
ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ณ ขณะนี้ ยังเติบโตไม่เต็มศักยภาพ นั่นเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ไม่มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากงบประมาณขาดช่วง เมื่อเงินงบประมาณยังไม่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจ สถาบันการเงิน ไม่ปล่อยสินเชื่อ ภาคธุรกิจก็ไม่มีเงินไปต่อยอดธุรกิจ ประชาชนก็ไม่มีสภาพคล่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ยังกดการเติบโตเศรษฐกิจอีก
เพราะฉะนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และต้องทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากด้วยเช่นกันจึงจะเห็นผล นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ต้องใช้เงิน 500,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกันทั้งประเทศในไตรมาส 4 ของปีนี้ และจะมีอีกหลายมาตรการที่จะทยอยออกมา เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สร้างความกินดี อยู่ดี ทำให้สังคมไทยมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ส่วนโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตเก่า บนเนื้อที่กว่า 63 ไร่ หรือหมอชิตคอมเพล็กซ์ ที่เป็นปัญหาคาราคาซังมากว่า 30 ปีนั้น หลังจากรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว จะเร่งนำไปหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน ส.ค.นี้.
ดวงพร อุดมทิพย์
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม