วางกฎดัดหลังผู้ชนะทิ้งสัญญา แจงทีโออาร์ขายข้าว 10 ปีมั่นใจขายเกลี้ยง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.67 องค์การคลังสินค้า (อคส.) และกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการจำหน่ายข้าวสาร สต๊อกรัฐเป็นการทั่วไป (ทีโออาร์) ซึ่งเป็นข้าวสารหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ในโกดังกิตติชัย หลัง 2 และพูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 จ.สุรินทร์ 15,000 ตัน โดยมีโรงสี ผู้ส่งออก ร่วมรับฟัง 10 ราย

ทั้งนี้ นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า อคส.ได้เชิญชวนสมาคมฯ มารับฟังการชี้แจง ส่วนจะประมูลหรือไม่ ต้องดูสภาพข้าวก่อน แต่จากการรับฟังเพื่อนโรงสี ที่ไปตรวจสอบข้าวที่โกดัง จ.สุรินทร์ ช่วงที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ไปตรวจสอบ ก็พบว่า สภาพยังดีอยู่ ปรับปรุงคุณภาพให้ได้มาตรฐาน และขายได้ ซึ่งถ้ายังกินได้ ก็อาจร่วมเสนอราคาซื้อ ส่วนจะเสนอราคาเท่าไร ต้องดูสภาพข้าวก่อน คาดว่า กิโลกรัม (กก.) ละ 15 บาทน่าจะเป็นราคาเริ่มต้นเสนอซื้อ แต่จะไล่ราคาขึ้น หรือลงเท่าไร ยังไม่ทราบ

“ข้าวที่จะขายผู้บริโภค ต้องปรับปรุงคุณภาพก่อน เช่น ขัดสี แยกเมล็ดแตกหัก เทคโนโลยีของโรงสี ผู้ประกอบการข้าวถุงไทย มีคุณภาพ มาตรฐานมาก มีเครื่องจักรคัดแยกข้าวเมล็ดดี ไม่ดีออกจากกัน แม้แต่ข้าวมีจุดดำ มีเชื้อรา เครื่องก็คัดแยกได้ มีความละเอียดสูงมาก แต่ข้าวเก่าอาจมีสีเปลี่ยนไปตามอายุ ไม่ใช่เพราะเป็นข้าวเสีย ยังหุงกินได้”

อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้แยกแยะว่า ข้าวที่จะเสนอนั้น จะขายในประเทศ หรือส่งออก หากตีข่าวว่า จะเอาขายไปต่างประเทศ ก็อาจเกิดความเข้าใจผิดได้ว่า คนไทยไม่กิน แต่ข้าวเก่า ก็ยังมีตลาดที่นิยมกินอยู่ ไม่ใช่ไม่มีใครกินเลย และไม่จำเป็นต้องระบุที่ถุงข้าวว่า เป็นข้าว 10 ปี เพราะในการทำตลาด มีการนำข้าวเก่าและใหม่มาผสมกันอยู่แล้วตามความต้องการผู้บริโภค และปัจจุบัน ข้าวเก่า 2 ปี 3 ปี ก็ไม่ได้ระบุที่ถุงด้วย “ข้าวที่จำหน่ายทุกวันนี้ มีมาตรฐานสูงมาก เพราะระบบการปรับปรุงและเครื่องจักรของไทย ทันสมัยระดับโลก ไม่น่าห่วงเรื่องคุณภาพ”

ด้านตัวแทนโรงสี จาก จ.พิจิตร กล่าวว่า สนใจเข้าร่วมประมูลข้าวครั้งนี้ และน่าจะประมูลซื้อทั้ง 2 โกดัง จะเสนอราคาเท่าไร ยังไม่ทราบ ต้องรอดูข้าวก่อน แต่จากการติดตามข่าว เห็นว่า สภาพยังดีอยู่ ไม่ต้องปรับปรุงอะไรมาก ส่วนจะขายในประเทศ หรือส่งออกต้องแล้วแต่ผู้บริหาร อาจจะนำมาปรับปรุงคุณภาพแล้วขายต่อให้ผู้ส่งออกก็ได้

ส่วนนายกฤษณรักษ์ ใจดี รักษาการ ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า การชี้แจงทีโออาร์ครั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าฟัง ประมาณ 10 ราย และก่อนหน้า มีผู้สนใจโทรศัพท์มา สอบถามกว่า 10 ราย มั่นใจว่า มีผู้ประมูลแน่นอนโดยจะ เปิดโกดังให้ดูข้าววันที่ 31 พ.ค.-7 มิ.ย. ยกเว้นวันที่ 3 มิ.ย. ซึ่งจะให้ตรวจทางกายภาพด้วยตาเปล่าเท่านั้น ไม่ให้นำข้าวออกไปตรวจสอบ เพราะมีการตรวจสอบก่อนหน้านี้อยู่แล้ว กรณีที่หน่วยงานอื่น ที่ไม่ใช่ผู้ประมูล จะขอดูสภาพข้าวในโกดัง ต้องทำหนังสือมาที่ อคส. และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขออนุญาตก่อน

ส่วนวันที่ 10 มิ.ย.จะให้ยื่นซองคุณสมบัติ ตรวจสอบ และประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติวันที่ 13 มิ.ย. ก่อนจะเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อวันที่ 17 มิ.ย.และจะเปิดซองวันเดียวกัน ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล และทำสัญญากับ อคส. หากผู้ชนะทิ้งสัญญาจะให้สิทธิ์ผู้เสนอซื้อราคาสูงสุดลำดับถัดไปมาทำสัญญา แต่หากเสนอราคาซื้อต่ำกว่าผู้ทิ้งสัญญา ผู้ทิ้งสัญญาต้องจ่ายส่วนต่างราคาให้ อคส. ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการทิ้งสัญญา และไม่ต้องประมูลใหม่.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่