คาด AMC ดีเดย์แก้หนี้ มิ.ย.นี้ “พิชัย” เร่งปลดหนี้รายย่อยหลุดพ้นเครดิตบูโร

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมธนาคารออมสิน สาขาจังหวัดเพชรบุรี ว่า กระทรวงการคลังจะเร่งรัดช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ต่อรายไม่เกิน 10,000 บาทในช่วงโควิด เพื่อให้หลุดพ้นการเป็นหนี้ จะได้มีประวัติดี สามารถยื่นกู้เงินได้ต่อไป ซึ่งรัฐบาลตั้งวงเงินช่วยเหลือไว้แล้ว 10,000 ล้านบาท ส่วนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย มีมูลหนี้มากกว่า 30,000 บาทต่อรายนั้น รัฐบาลจะเร่งช่วยเหลือเช่นกัน โดยธนาคารออมสิน จะร่วมทุนกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ในการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกัน หรือ AMC ถือหุ้นสัดส่วน 50:50 เพื่อบริหารจัดการหนี้เสียส่วนนี้คาดจะดำเนินการได้ภายในเดือน มิ.ย.นี้ “ในช่วงแรกบริษัทบริหารหนี้จะเปิดรับเฉพาะหนี้ของออมสินก่อน ในระยะถัดไปจึงจะเปิดรับจากธนาคารรัฐอื่นๆ”

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า การช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้รายละไม่เกิน 10,000 บาทนั้น ในส่วนของธนาคารออมสินมีอยู่ราว 800,000 ราย และเป็นลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ราว 600,000 ราย แต่ละรายติดหนี้ 3,000-5,000 บาท เป็นรายที่ไม่มีเงินชำระจริงๆ โดยหนี้ส่วนนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วิกฤติโควิด หากช่วยปลดหนี้ให้ ลูกหนี้จะมีประวัติที่ดี ไม่ติดบัญชีเครดิตบูโร

สำหรับการจัดตั้ง AMC นั้น คาดว่าทุกกระบวนการจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้ โดยระยะแรกจะรับโอนหนี้เสียจากธนาคารออมสินที่มีหนี้อยู่ราว 40,000 ล้านบาทก่อน จากลูกหนี้ 400,000 ราย โดยจำนวนหนี้ดังกล่าว ธนาคารได้ตั้งสำรองไว้หมดแล้ว “หากดำเนินการสำเร็จ จะช่วยลูกหนี้ได้หลายแสนราย แต่การตั้ง AMC จะมีกำไรไม่มาก เพราะเป็นบริษัทที่จะมาช่วยบริหารหนี้ และช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ทำให้คนเป็นหนี้เสียสามารถลดค่างวดผ่อนชำระได้ และหลุดพ้นจากการติดบัญชีเครดิตบูโร ที่ต้องติดยาวนาน 8 ปี”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเปิดเทอมธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลดภาระรายจ่ายผู้ปกครอง โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ 0.60% ต่อเดือน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 10,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี หรือผ่อนชำระ 12 งวด งวดละ 894 บาทต่อเดือน กู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักประกัน และไม่มีผู้ค้ำประกัน ยื่นกู้ได้จนถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้

ส่วนนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 67 ของโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM ว่า มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ 20,267 ราย เพิ่มขึ้น 43% ของช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีผู้ผ่านคุณสมบัติ 14,311 ราย เพิ่มขึ้น 58% มีจำนวนผู้ที่ลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 7,145 ราย หรือ 19,757 บัญชี เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 1,616 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการฯ มีลูกค้าตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ 46,720 ราย 129,950 บัญชี รวมภาระหนี้เงินต้นคงเหลือตามสัญญา 9,460 ล้านบาท ค่าเฉลี่ยเงินต้นคงเหลือตามสัญญารายละ 202,440 บาท ภาระหนี้ของผู้เข้าร่วมโครงการ 50,000-200,000 บาท โดยอยู่ในกลุ่ม Gen Y มากสุด สัดส่วน 61% และ Gen X สัดส่วน 35% มีบัญชีเฉลี่ย 2.7 บัญชีต่อราย และมีค่างวดผ่อนชำระเฉลี่ยเดือนละ 2,470 บาท มีระยะเวลาผ่อนชำระเฉลี่ย 92 เดือน

“ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ยังไม่ดำเนินคดีมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น คาดว่ามาจากปัญหาหนี้ส่วนบุคคลเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ จึงต้องแก้ไขหนี้เร็วขึ้น และเริ่มสนใจแก้ปัญหาหนี้ด้วยวิธีการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น การที่ประชาชนตื่นตัวกับการแก้ไขหนี้สิน จะช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ลดลงโดยเร็ว ส่งผลให้จำนวนผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น โดยปี 67 คาดจะมีลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ได้ไม่น้อยกว่า 55,000 บัญชี”.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่