ท่ามกลาง ประเด็นถกเถียงใหญ่ของสังคม เกี่ยวกับ “ข้าวเก่า 10 ปี” มีความปลอดภัย และ กินได้จริงหรือ ? หลังจาก “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โชว์กินข้าวสต๊อกค้างเก่า จากโครงการ “รับจำนำข้าว” ในอดีต
เพื่อเรียกความเชื่อมั่น ก่อนออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมประมูล ข้าวสารหอมมะลิ 15,000 ตัน ในสต๊อกรัฐบาลลอตสุดท้าย จากโครงการรับจำนำข้าวปี 56/57 ในช่วงกลางเดือน พ.ค. นี้ ปูทาง ปิดตำนาน โครงการจำนำข้าว อันโด่งดัง ในอดีต
แม้ยอมรับ สีของข้าวมีปัญหา เช่นเดียวกับ ฝุ่นผงปะปนในข้าว ที่อาจต้องซาวข้าวราว 15 ครั้ง ก่อนหุงกินได้ แต่ระบุ “เม็ดข้าว” ยังสวยงาม และ ปลอดภัย ไม่ได้น่ากลัว อย่างที่กังวลกัน และคาดที่จะเป็นที่ต้องการของตลาดแอฟริกา ที่นิยม ข้าวเก่า-สีเหลือง
โอกาสนี้ ThairathMoney ชวนเปิดเรื่องราวของ “ข้าวไทย” พืชเศรษฐกิจสำคัญ ระดับโลก ที่ไทยเคยส่งออกได้สูงสุด 10-11 ล้านตัน /ปี อาหารหลักของคนในชาติ ที่ผู้ผลิต กำหนดวันหมดอายุ 1-2 ปี หลังบรรจุถุงเสมอ
สำหรับ “ข้าว” เป็นสินค้าเกษตรส่งออกหลักของไทย โดยมีพื้นที่เพาะปลูก มากที่สุดในภาคการเกษตร ราว 43.7% และเกี่ยวพันกับ 5.1 ล้านครัวเรือน หรือ 63.6% ของจำนวนครัวเรือนภาคเกษตรทั้งหมด
นี่เองจึงเป็นที่มา ที่ทำให้ “เกษตรกรผู้ปลูกข้าว” มักได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากรัฐบาลมาโดยตลอด ผ่านนโยบายช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านราคา และโครงการช่วยเหลือ เช่น
จริงอยู่ ที่ปัจจุบัน ไทยมีผลผลิตข้าว เป็นแค่ อันดับ 6 ของโลก รองจากจีน อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่ ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็น 13.5% รองจากอินเดียที่มีส่วนแบ่งตลาด 38.8% ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง จากคู่แข่ง เวียดนาม ปากีสถาน เมียนมา และจีน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกมีสัดส่วนเพียง 11.1% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก เนื่องจาก ข้าว ยังถูกปลูก เพื่อความมั่นคงด้านอาหารภายในประเทศเป็นหลักด้วย
ดังนั้น ปริมาณการค้าข้าวระหว่างประเทศจึงเป็นผลผลิตส่วนเกินจากการบริโภคในแต่ละประเทศ ขณะเดียวกัน ภาวะตลาดส่งออกจึงมักผันผวนตามปริมาณผลผลิตของประเทศผู้ส่งออกและการบริโภคของประเทศผู้นำเข้า โดยตลาดนำเข้าข้าวส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ตามลำดับ
ทั้งนี้ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีผลผลิตข้าวเปลือกเฉลี่ยปีละ 31-33 ล้านตัน ซึ่งนำไปสีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 20-22 ล้านตัน ใช้บริโภคภายใน ประเทศเฉลี่ย 10-12 ล้านตัน (ส่วนที่เหลือส่งออกและสต๊อก)
โดยชนิดข้าวส่งออกสำคัญ คือ ข้าวขาว, ข้าวหอมมะลิไทย, ข้าวนึ่ง, ข้าวหอมไทย, ข้าวเหนียว และข้าวกล้อง ส่วนสาเหตุที่อาจทำให้ การส่งออก “ข้าวไทย” ปีนี้ ลดต่ำลงจากปีก่อน มาจาก …
สำหรับ ข้าวเพื่อใช้บริโภคโดยตรงของคนในประเทศ มีสัดส่วนสูงถึง 30% ของปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกทั้งหมดของไทย ได้แก่
ความน่าสนใจ คือ ปัจจุบันไทยมีแบรนด์ข้าวถุงมากกว่า 100 แบรนด์ ที่จดทะเบียนกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และมีผู้ส่งออกข้าว โรงสีข้าว ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก กลุ่มชุมชน เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากที่ไม่ได้จดทะเบียนทำข้าวถุง เข้ามาทำตลาดและทำแบรนด์ข้าวถุงของตัวเองมากขึ้น
ตัวอย่างคุณภาพข้าวของไทย
ขณะคำถามสำคัญ คือ “ข้าวสาร” มีวันหมดอายุหรือไม่? หลังจาก จะพบเห็นกันโดยทั่วไป ว่าข้าวที่ถูกบรรจุถุงขนาดต่างๆ ที่วางจำหน่ายในร้านค้า หรือ ห้างสรรพสินค้า มักจะมีการเขียนกำหนดไว้หลังถุง ระบุ วันหมดอายุราว 1-2 ปี หลังวันผลิตเสมอ ด้วยคำว่า ควรบริโภคก่อน …/…/…
โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว และเจ้าของโรงสีข้าวหลายราย ออกมาขยายความผ่านสื่อต่างๆ เพิ่มเติมว่า เป็นการกำหนด ถึงระยะเวลา คุณภาพของข้าว ที่เหมาะกับการบริโภคที่ดีที่สุด ซึ่งก็จะอยู่ราว 1 ปี หรือ บางผู้ผลิต ระบุ 2 ปี หลังผลิตใส่ถุงเสมอ เพราะหากเก็บนานไป อาจทำให้การบริโภคด้อยลง ไม่ว่าจะเป็น ความหอม รสชาติความอร่อย แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่สามารถบรืโภคได้แล้ว หลังจากผ่านวันที่กำหนดไว้
ขณะคลังข้อมูลวิจัยการเกษตรไทย เผยว่า การเก็บรักษาข้าวเป็นเวลานาน จะทำให้เมล็ดข้าวสารมีสีคล้ำขึ้น ความขาวใสลดลง โดยเฉพาะการเก็บที่อุณหภูมิและความชื้นสูง
เนื้อสัมผัสของข้าวที่เก็บรักษานานเมื่อหุงสุกพบว่ามีความแข็งมากกว่าข้าวเก็บเกี่ยวใหม่ เนื่องจากปริมาณ amylose และการรวมตัวของ amylose-lipid complex ในข้าว ทำให้เมล็ดมีความแข็งขึ้น
ข้าวที่เก็บรักษานานหรือข้าวเก่าจึงต้องใช้อุณหภูมิในการหุงต้มให้สุกสูงกว่าและใช้เวลานานกว่า เช่นเดียวกับกลิ่นหอมในข้าวจะค่อยๆ ลดลง
ข้าวที่จะเก็บรักษาควรมีความชื้นไม่เกิน 14% หรือ 12% ในกรณีที่เก็บรักษานานเกิน 6 เดือน การเก็บรักษาควรมีความชื้นไม่เกิน 14% หรือ 12% ในกรณีที่เก็บรักษานานเกิน 6 เดือน การเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิต่ำ จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ภายในเมล็ดข้าวน้อย
นอกจากนี้ ภาชนะที่บรรจุระหว่างเก็บรักษาต้องสะอาด ไม่มีแมลงปะปนมา สถานที่เก็บรักษาควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ชื้นและไม่ควรวางกระสอบข้าวกับพื้นโดยตรง เพราะข้าวอาจจะเกิดความชื้นได้
การเก็บรักษาข้าวสารควรเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีความพรุนน้อยเพื่อลดการผ่านเข้าออกของอากาศ หรือการใช้ตัวดูดซับออกซิเจน จะช่วยให้คุณภาพระหว่างการเก็บรักษาเปลี่ยนแปลงน้อยลงได้
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney