นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง เปิดเผยว่า หลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณ 67 มีผลบังคับใช้ มีโครงการที่จะมีการลงนามในสัญญาแล้ว 250,000 ล้านบาท ถึงแม้ว่า พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 จะล่าช้ากว่ากำหนด แต่ในช่วงที่อยู่ระหว่างรองบประมาณที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ ส่วนราชการที่มีโครงการลงทุน ได้เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งแต่จัดทำเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) และประกาศเชิญชวน พร้อมเปิดประมูลโครงการ ยกเว้นการลงนามในสัญญา เมื่อ พ.ร.บ.งบประมาณมีผลบังคับใช้ ก็จะเริ่มลงนามในสัญญาทันที
นอกจากโครงการที่ลงนามในสัญญาไปแล้ว ยังมีโครงการที่ประกวดราคาไปแล้ว จนกระทั่งได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว แต่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาอีกราว 70,000 ล้านบาท และอีกราว 160,000-170,000 ล้านบาท อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการทำทีโออาร์
ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนไว้ที่ 75 % ของงบรายจ่ายเพื่อการลงทุน โดยกรมบัญชีกลางได้จัด Special Team จำนวนหลายทีม เพื่อให้สามารถดูแลกรมต่างๆที่มีงบลงทุนได้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้คำปรึกษาในกรณีที่เกิดปัญหาในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายของหน่วยงานต่างๆ นอกจากนั้นกรมบัญชีกลางยังได้ออกหนังสือเวียนไปยังส่วนราชการต่างๆที่มีโครงการลงทุน ซึ่งเป็นมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน โดยมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของกรมบัญชีกลาง เช่น รายการลงทุนปีเดียวให้หน่วยงานรับงบประมาณ (เจ้าของโครงการ) พิจารณากำหนดระยะเวลาการส่งมอบงานให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในเดือน ก.ย.67
กรณีรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เป็นรายจ่ายลงทุนรายการใหม่ ควรดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและทำสัญญาให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่