ลดเป้า “จีดีพี” ไทยเติบโต 2.8%

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า จากรายงานเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ล่าสุดฉบับเดือน เม.ย. ธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือโต 2.8% ต่ำกว่าประมาณการที่คาดไว้เดิมที่ 3.2% โดยยังไม่รวมผลของโครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เนื่องจากการส่งออกและการลงทุนภาครัฐลดลง เป็นผลมาจากความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 62.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

ธนาคารโลกประเมินว่า หากรวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะทำให้จีดีพีโตเพิ่มอีก 1% จากที่คาดการณ์ไว้ แต่โครงการนี้จะส่งผลให้หนี้สาธารณะปัจจุบันเพิ่มขึ้นอีก 2% ส่วนปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.0% และขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกเป็น 3.1% ในปี 2569 ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้า คือ การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.4% การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัว 1.7% จากที่ติดลบ 4.6% เมื่อปีที่ผ่านมา ขณะที่การท่องเที่ยว คาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดได้ในกลางปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวไทยถึง 90% ของช่วงก่อนโควิด
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำเพียง 1% เนื่องจากการอุดหนุนราคาพลังงานของภาครัฐ ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะยังคงเป็นบวก เพราะได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายใน ประเทศที่แข็งแกร่ง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัด จะเกินดุลที่ 1.3% ของจีดีพี และค่าเงินบาท ธนาคารโลกมองว่า ยังคงมีเสถียรภาพ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัด กลับมาอยู่ในภาวะเกินดุล

“ในรายงาน ระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวช้าแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนส่วนใหญ่ และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก โดยไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น การแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ปัญหาโลกร้อน ความจำเป็นในการกำหนดนโยบายป้องกันวิกฤติต่างๆ ในอนาคต ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมองว่าปีนี้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆของโลก”

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่