ลามไปทั่วหลายธุรกิจ สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากหลายๆ ปัจจัยลบก่อนหน้านี้ ล่าสุด ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ เจ้าใหญ่ในตลาดรับสร้างบ้าน "สิทธิพร สุวรรณสุต" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกมาให้ข้อมูลว่า ปริมาณและมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศ เมื่อปี 2566 (มิใช่บ้านจัดสรร) ชะลอตัวตามที่คาดการณ์ไว้
โดยในปี 2565 ปริมาณและมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท แต่ในปี 2566 พบว่าตัวเลขมูลค่าตลาดลดลงเหลือ 1.72 แสนล้านบาท หรือลดลงคิดเป็น 14% สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ซบเซา ส่งผลให้กำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของประชาชนลดลง ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ
โดยกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านหรือศูนย์รับสร้างบ้าน พบว่าปริมาณและมูลค่าตลาดปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ในปี 2565 ขนาดตลาดรับสร้างบ้านมีมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท แต่ปรากฏว่าปี 2566 ปรับตัวลดลงเหลือ 1.8 หมื่นล้านบาท หรือลดลงเฉลี่ย 18% (หดตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี) โดยมูลค่าตลาดที่ชะลอตัวและปรับลดลงมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่
ส่วนแนวโน้มและทิศทางตลาดบ้านสร้างเองปี 2567 พีดีเฮ้าส์ ประเมินว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคและประชาชนยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบสำคัญๆ ได้แก่
ทั้งหมดส่งผลต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กพื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 100-120 ตารางเมตร หรือราคาบ้านไม่เกิน 2 ล้านบาท และผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่ พื้นที่ขนาด 500 ตารางเมตรขึ้นไป หรือราคามากกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับผลกระทบและมีสัดส่วนลดลงมากที่สุดในปีนี้
ปัญหาหลักๆ ได้แก่ การฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจประเทศ และนโยบายภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัดเจนและล่าช้า ซึ่งยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกใดๆ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในการจับจ่ายใช้สอย หรือลงทุนในทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการลงทุนเรื่องบ้าน หรือสร้างบ้านเอง
“ตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ ปี 2567 คาดว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะกำลังซื้อกลุ่มนักธุรกิจ หรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก และกลุ่มชาวต่างชาติ ที่ผ่านมา 2 กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดรับสร้างบ้าน แต่คาดว่าในปีนี้กำลังซื้อของ 2 กลุ่มนี้จะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ”
อย่างไรก็ตาม ความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อที่ลดลง อาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านแตกต่างกันไป เพราะแนวโน้มผู้บริโภคจะนิยมใช้บริการกับผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ที่ประวัติและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ หรือมีแบรนด์เป็นที่น่าไว้วางใจ มากกว่าจะเลือกผู้ประกอบการที่ขาดความน่าเชื่อถือในการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ในสายตาของผู้บริโภคกลุ่ม Gen X และ Gen Y ยังให้ความสำคัญ และสนใจที่จะเลือกใช้บริการกับผู้ประกอบการที่มีจุดยืนทางธุรกิจและจุดขายที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างการบริหารงานและบุคลากรภายในองค์กรใหม่ และจะหันมาให้ความสำคัญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Gen X และ Gen Y มากขึ้น ภายใต้เป้ายอดขายบ้านเฉลี่ยสาขาละ 30-50 ล้านบาท จากปัจจุบันศูนย์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ มีสาขาทั่วประเทศรวม 31 สาขา
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney