ก่อความเสียหายให้เศรษฐกิจชาติ 3 กูรูออกจดหมายเปิดผนึก ท้วงนโยบายพลังงานรัฐบาล

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนเองพร้อมด้วยนายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว.พลังงาน นายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความเป็นห่วงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่เศรษฐกิจของชาติ จากนโยบายพลังงานที่รัฐบาลขับเคลื่อน ให้ทราบถึงความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นรวม 5 ประเด็น ต่อไปนี้

1.เพียงแค่ 5 เดือนของรัฐบาลหนี้กองทุนน้ำมันได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 84,000 ล้านบาท เพราะกดราคาน้ำมันดีเซลลงจากลิตรละ 32 บาท เป็นลิตรละ 30 บาท และลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ลงลิตรละ 2.50 บาท หากปล่อยไปเช่นนี้ หนี้ของกองทุนน้ำมันจะเพิ่มสูงจนถึงเพดานหนี้ตามที่กฎหมายกำหนด 110,000 ล้านบาทในอีกไม่นาน ดังนั้น ในช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมิได้ผันผวนถึงขั้นวิกฤติ ควรเรียกเก็บเงินเข้าเพื่อมาคืนสภาพคล่องและลดหนี้ให้แก่กองทุนฯ

2.ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2566 หนี้ค่าเอฟทีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับไว้มียอดค้างอยู่ 110,000 ล้านบาท ปรากฏว่ารัฐบาลใหม่ประกาศกดราคาค่าไฟฟ้าลงไปอีกเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ทำให้ กฟผ.ต้องแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นอีก สูงขึ้นเป็น 137,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2566 หากปล่อยไปเช่นนี้ที่สุดต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปล้างหนี้ เพื่อให้กฟผ.ดำเนินกิจการต่อไปได้

3.รัฐบาลในอดีตได้ออกนโยบายที่เป็นคุณต่อสิ่งแวดล้อม วางแผนผลิตน้ำมันคุณภาพสูงมาตรฐาน ยูโร 5 โดยจูงใจให้โรงกลั่นในประเทศทั้ง 6 โรง ลงทุนก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ปรับกระบวนการผลิต ใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท และกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ออกมาตรฐานรถยนต์ใหม่ให้รองรับคุณภาพน้ำมันใหม่ ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ทั้งๆที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศให้ใช้น้ำมันระดับ ยูโร 5 แล้ว แต่ยังนิ่งเฉย แสดงท่าทีไม่ยอมรับคุณภาพน้ำมันสะอาดใหม่นี้ โดยไม่พิจารณาปรับราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นของเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซล

4.คุณภาพอากาศกำลังเป็นปัญหาสำคัญ สาเหตุหลักบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลคือควันพิษจากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน และแก๊สโซฮอล์ รัฐบาลในอดีตและปัจจุบันมีนโยบายที่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แต่การลดราคาน้ำมันทุกชนิดให้ต่ำลงเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงและก่อให้เกิดควันพิษมากขึ้น ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะส่งเสริมการใช้อีวีจริงหรือไม่

5.ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคิดเลขในการหาต้นทุนที่ต่ำลงสำหรับก๊าซธรรมชาติในราคาตลาดเฉลี่ยของราคาก๊าซธรรมชาติจากทุกหลุม (Pool Gas) ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า และปรับสูตรการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas ใหม่เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือราคาของก๊าซธรรมชาติส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ (GSP) เพิ่มสูงขึ้นทันที ส่งผลต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมีทั้งระบบเพิ่มขึ้น กระทบความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่