“คนสร้างชาติ-ชาติสร้างคน” กลายเป็นคำกล่าวที่น่าขบคิดมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประเทศไทย เพราะนอกจากวันนี้ ปัญหา “หนี้ครัวเรือนไทย” จะฉุดรั้งทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว ทรัพยากรมนุษย์ที่มีปัญหา ตั้งแต่จำนวนลดน้อยถอยลง จากโครงสร้างประชากรเปลี่ยน คนสูงวัยล้นประเทศ ในแง่ “คุณภาพ” ก็มีความน่าเป็นห่วงเช่นกัน
ล่าสุด World Bank Thailand (ธนาคารโลก) ชี้ให้เห็นวิกฤติดังกล่าวว่า ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤติ #ทักษะทุนชีวิต หรือ #FoundationalSkills คล้ายกับหลายๆ ประเทศในภูมิภาค
กล่าวคือมีเยาวชนและคนสูงวัยจำนวนมากที่มีทักษะทุนชีวิตต่ำกว่าเกณฑ์ ตั้งแต่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีความสามารถในการอ่านหนังสือขั้นพื้นฐาน และการคำนวณอย่างง่ายๆ ไปจนถึงการเปิดรับสิ่งใหม่ และทักษะที่สำคัญแห่งอนาคตอย่าง “ทักษะดิจิทัล” ที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก
ซึ่งการมีทักษะพื้นฐานของทุนชีวิตข้างต้น จะส่งผลต่อการทำงานในอนาคตด้วย โดยมี 3 องค์ประกอบดังนี้
ทั้งนี้ วิกฤติด้านทักษะ จะพบชัดเจนในกลุ่มผู้ที่มาจากพื้นที่ชนบท ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีการศึกษาไม่ถึงระดับอุดมศึกษา
“วิกฤติด้านทักษะจะถูกพบมากสุดในกลุ่มผู้ที่มีอยู่ในพื้นที่ชนบท อาศัยอยู่ในภาคเหนือและภาคใต้ ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีการศึกษาไม่ถึงระดับอุดมศึกษา”
โดยสิ่งที่ต้องคำนึง World Bank ชี้ว่าวิกฤติทักษะในไทยนั้น ทำให้ประเทศเกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ซึ่งมีมูลค่าถึง 3.3 ล้านล้านบาท (20% ของ GDP) ในปี 2565
ขณะเดียวกัน เมื่อเจาะความแตกต่างของรายได้แรงงานต่อเดือน ระหว่างผู้ที่มีทักษะทุนชีวิตที่ต่ำกว่าและสูงกว่าเกณฑ์ พบมีความห่างกันถึง 6,300 บาท (190 ดอลลาร์สหรัฐ)
โคจิ มิยาโมโตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้าน Global Practice จากธนาคารโลก กล่าวว่า บริบทเบื้องหลังของวิกฤติทักษะทุนชีวิตของไทย วางอยู่บนปัญหา 3 ประการ คือ
ตัวอย่างของวิกฤติทักษะทุนชีวิต
ทั้งนี้ จุดเริ่มของวิกฤติทักษะทุนชีวิต เกิดขึ้นตั้งแต่การเรียนรู้ในระดับปฐมวัย ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ในช่วงวัยอื่นๆ รวมถึงการเรียนรู้ในช่วงวัยแรงงาน ดังนั้นจำเป็นต้องเชื่อมโยงการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learning) เน้นบูรณาการทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปถึงท้องถิ่น เพื่อการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
มิยาโมโตะ ยังเน้นยํ้าว่า ทักษะทุนชีวิต ช่วยให้คนสามารถเอาชนะความท้าทาย และใช้ประโยชน์จากโอกาสในศตวรรษที่ 21 ได้ หากประชากรมีทักษะดังกล่าวแล้ว จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศ และจากตัวเลขที่พบในหลายประเทศ การเพิ่มขึ้นของการอ่านออกเขียนได้เพียง 1% จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้ถึง 3% เลยทีเดียว
" ต้นทุนทางเศรษฐกิจรวมกันจากกลุ่มที่ระดับทักษะการรู้หนังสือและทักษะดิจิทัลต่ำกว่าเกณฑ์ยังสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20.1 ของ GDP ในปี 2565 โดยมูลค่าดังกล่าวมีจำนวนสูงกว่างบประมาณภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2565 (3.1 ล้านล้านบาท) ซึ่งการคาดการณ์ความสูญเสียทางรายได้จากกลุ่มที่ทักษะต่ำกว่าเกณฑ์นี้เป็นเพียงการคำนวนจาก 12 เดือนเท่านั้น และการสูญเสียทางรายได้ลักษณะนี้จะยังคงเกิดขึ้นในปีต่อๆ ไปอีก "
ที่มา : ธนาคารโลก