นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปพิจารณาสร้างแพลตฟอร์มช่วยเกษตรกรจำหน่ายสินค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยแบ่งผลกำไรให้กับเกษตรกร เพื่อสร้างความเป็นธรรม โดยจะเริ่มนำร่องจากสินค้ากาแฟ เนื่องจากประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากผลการนำร่องประสบความสำเร็จ จะขยายไปยังสินค้าอื่นๆ
ส่วนเหตุผลที่เลือกสินค้ากาแฟ เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟจำนวนมาก ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ขณะเดียวกันเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ พ่อค้าคนกลาง โรงงานแปรรูปกาแฟ ผู้ส่งออก ต้องการร่วมทดลองวิธีการดำเนินการดังกล่าวด้วย
“ผมตั้งใจที่จะช่วยเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มจากคนปลูกกาแฟ ส่งขายพ่อค้าคนกลาง ส่งต่อไปยังโรงงานเพื่อผลิตส่งออก คนมีกำไรและรวย มีอยู่ 2-3 ส่วน คือ พ่อค้าคนกลาง โรงงานผลิต ผู้ส่งออก ขณะที่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ยังคงประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการดูแลสินค้าเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เมื่อมีกำไรแล้วนำกำไรนั้น มาแบ่งให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟด้วย เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสินค้ากาแฟ”
สำหรับมาตรการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยที่มีเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาทนั้น ขณะนี้มียอดเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนแล้วเกือบ 3 ล้านราย ซึ่งเป็นการพักชำระหนี้เงินต้น ดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 ปี เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย แต่หากเกษตรกรมีเงินมาชำระในระหว่างพักหนี้ ก็จะพิจารณาลดดอกเบี้ยให้เป็นกรณีๆไป ส่วนกรณีการพักชำระหนี้ให้เกษตรกรที่วงเงินกู้เกิน 300,000 บาทขึ้นไปนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดว่าควรจะกำหนดเพดานเงินกู้หรือไม่ และมีจำนวนเกษตรกรที่กู้เงินเกินจำนวนเท่าใด คาดว่าภายในเดือน มี.ค.67 จะมีความชัดเจน.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่