นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีบุหรี่ใหม่ โดยอาจใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียว คือ เก็บภาษีตามปริมาณอย่างเดียวนั้น ยสท.เห็นว่าการใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียว หรือ Single Tier ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีปัญหาเรื่องบุหรี่ผิดกฎหมาย เช่น ประเทศไทย เพราะไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมายได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม เนื่องจากบุหรี่ผิดกฎหมายไม่ได้เสียภาษีเข้ารัฐ จึงมีราคาถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมาย 2-3 เท่าตัว เมื่อบุหรี่แพงขึ้นจนเกินกำลังซื้อของประชาชน ก็จะยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้คนหันมาสูบบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ต่างก็ใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียว เป็นการเก็บภาษีตามปริมาณ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายได้ ขณะที่ประเทศเวียดนาม และเมียนมานั้น ยาสูบเป็นสินค้าผูกขาดโดยรัฐ ขณะที่ไทยเผชิญกับปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นผลพวงจากการปรับโครงสร้างภาษีที่ผ่านมา ส่งผลให้บุหรี่ต่างประเทศนำเข้าใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาขายปลีกซึ่งสวนทางกับภาษี ผู้บริโภคจึงหันไปสูบยาเส้นและบุหรี่ต่างประเทศนำเข้ามากขึ้น
“ฉะนั้น หากมีการปรับโครงสร้างภาษีเป็นอัตราเดียว จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อตลาดบุหรี่ถูกกฎหมาย และผู้ประกอบการ ตลอดจนรายได้การจัดเก็บภาษีของรัฐ และการลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนก็อาจทำได้ไม่สำเร็จ เพราะประชาชนหันไปบริโภคยาเส้นและบุหรี่ผิดกฎหมายมากขึ้น ยสท.จึงมีความเห็นว่าการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของประเทศไทย ควรพิจารณาถึงปัจจัยหลัก ได้แก่ ลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ลดผลกระทบที่เกิดกับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบในประเทศ สามารถแก้ปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายได้เห็นผลเป็นรูปธรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งรัฐเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากภาคส่วนนี้โดยตรง”
นายภูมิจิตต์ กล่าวว่า ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตทำให้ปริมาณการสูบบุหรี่ถูกกฎหมายในประเทศไทยหดตัวลดลง โดยปี 2566 ภาษีทั้งหมดที่เก็บได้จากการขายบุหรี่อยู่ที่ 70,000 ล้านบาท แต่เป็นรายได้ที่ถูกบุหรี่หนีภาษีลิดรอนไปกว่า 25% คิดเป็นมูลค่าภาษีที่หายไปกว่า 23,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มบุหรี่เถื่อนจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ ถึงแม้รัฐจะปราบปรามบุหรี่เถื่อนอย่างเข้มงวด ซึ่งนับตั้งแต่มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ เมื่อปีงบประมาณ 2561-2566 ผลการปราบปรามพบคดีบุหรี่ผิดกฎหมายรวมทั้งสิ้น 50,963 คดี ของกลาง 33,490,246 ซอง แต่บุหรี่เถื่อนยังคงเพิ่มขึ้น รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าด้วย
สำหรับการปรับโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ส่งผลกระทบกับ ยสท. ทั้งโดยตรงและในภาพรวมอีกหลายด้าน โดยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณการจำหน่ายบุหรี่ของ ยสท.ที่ลดลง ทำให้ ยสท. จำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตลงด้วยการตัดโควตารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรลดลง 50% ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรซึ่งประกอบด้วยชาวไร่และผู้เกี่ยวข้องกว่า 500,000 ราย ทำให้รัฐและ ยสท.ต้องเพิ่มเงินสนับสนุนให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการลดโควตาการปลูกใบยาสูบ ประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท
ที่ผ่านมา ยสท.ให้การสนับสนุนชาวไร่ยาสูบตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูกจนถึงกระบวนการรับซื้อใบยา
นอกจากนี้ ยังจัดหาใบยาสูบจากผู้บ่มอิสระอีกจำนวนหนึ่งด้วย ปัจจุบัน ยสท. มีโควตาการรับซื้อใบยาเวอร์ยิเนีย 4.73 ล้านกิโลกรัม ใบยาเบอร์เลย์ 7.1 ล้านกิโลกรัม และใบยาเตอร์กิซ 2 ล้านกิโลกรัม แต่จากสถานการณ์ใบยาโลก ในปี 2566 ใบยาเบอร์เลย์ในตลาดโลกขาดแคลน ส่วนใบยาเตอร์กิซมีราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ไทยจึงแข่งขันได้ เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด ในขณะที่ใบยาเวอร์ยิเนียนั้นมีราคาสูงกว่าราคาตลาดโลก จึงยากในการที่จะระบายใบยาออกตลาดโลก ประกอบกับทางยสท.มีใบยาเวอร์ยิเนียคงคลังมากกว่า 2.9 ล้านกิโลกรัม ซึ่ง ยสท.ยินดีแบกรับและช่วยเหลือชาวไร่และผู้บ่มใบยาเวอร์ยิเนียอย่างเต็มที่
แต่อย่างไรก็ดี
ที่ผ่านมา ยสท.มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกใบยาเบอร์เลย์และใบยาเตอร์กิซเป็นหลัก นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ยสท.มีนโยบายรับซื้อใบยาเบอร์เลย์และใบยาเตอร์กิซจากชาวไร่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด สำหรับชาวไร่ยาสูบเวอร์ยิเนีย ยสท.ได้ให้ความช่วยเหลือโดยการลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนการใช้สารเคมี และพร้อมส่งเสริมให้ชาวไร่ยาสูบเวอร์ยิเนียปรับเปลี่ยนมาปลูกใบยาเบอร์เลย์ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก นอกจากนี้ ในอนาคต ยสท.ยังมีนโยบายที่จะปรับขึ้นราคารับซื้อใบยาสูบเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชาวไร่ยาสูบอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างภาษีบุหรี่ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นทั้ง 2 ฐาน คือ ปริมาณจากมวนละ 1.20 บาท เพิ่มเป็นมวนละ 1.25 บาท เท่ากับขึ้นซองละ 1 บาท ถือว่าขึ้นน้อยมาก และปรับฐานภาษีขายปลีกจากซองละไม่เกิน 60 บาท ภาษี 20% เป็นไม่เกินซองละ 72 บาท ภาษี 25%.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่