วิกฤติเศรษฐกิจ การเมือง

สถานการณ์สู้รบในทะเลแดง ที่กำลังลุกลามเป็นระดับภูมิภาค รุนแรงถึงขนาดต้องปิดช่องแคบเฮอร์มุซ ที่เป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก การระงับการเดินเรือขนส่งน้ำมันของบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำมันร้อยละ 21 ของปริมาณการขนส่งน้ำมันทั่วโลก นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลก วิเคราะห์ว่าถ้า สงครามอิสราเอล-ฮามาส ลุกลามในภูมิภาคตะวันออกกลางเต็มที่ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับราคาขึ้นเป็นประวัติการณ์ไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ประกอบกับผลการสำรวจคุณภาพการเติบโตของประเทศต่างๆจาก World Economic และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ (CBS) ไทยเติบโตที่ร้อยละ 48.99 อยู่ในอันดับที่ 51 ส่วน คะแนนด้านความยั่งยืน อยู่ที่ร้อยละ 40.84 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก บ้านเราหนีไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้

แผนการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ในปี 2567-2572 เป็นแผนการคลังระยะปานกลาง มีเป้าหมายการจัดเก็บรายได้เพิ่มปีละ 1.2 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3-5% รักษาระดับการขาดดุลงบประมาณของงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ให้อยู่ที่ 7.1 แสนล้านบาท ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังเอาไว้ ให้ขาดดุลงบประมาณในระดับ 7 แสนล้าน จนถึงปี 2572 เมื่อเทียบกับการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพี ยังสูงกว่าระดับ 3% และคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.9% ในปี 2571

อย่างไรก็ตาม ภาระรายจ่ายทางการคลังเพิ่มสูงขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และภาระทางการคลังจากโครงการสวัสดิการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การเพิ่มจำนวนของหน่วยงานและบุคลากรภาครัฐ

ประมาณการรายได้ของรัฐในปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ประมาณ 2,787,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 120,344 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.5 จากการจัดเก็บรายได้ของ กรมสรรพสามิต กรมธนารักษ์ และ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ที่สูงมากขึ้น ส่วนรายได้จาก กรมศุลกากร จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากการหดตัวของเศรษฐกิจและการแข็งค่าอัตราแลกเปลี่ยน ปี 2568 ประมาณการรายได้ที่ 2,887,000 ล้านบาท ปี 2569-2572 ประมาณการรายได้จะเพิ่มขึ้นปีละ 5.2-5.9% สูงสุดปี 2572 ที่ 3,571,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจากภายนอกทั้งเศรษฐกิจและการเมืองค่อนข้างจะต้องเฝ้าระวัง ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯมีปัญหาวิกฤติเพดานหนี้ ไม่สามารถที่จะออกพันธบัตรได้ตามใจชอบ ทำให้รัฐบาลขาดงบประมาณเฉพาะหน้าที่จะใช้จ่ายฉุกเฉิน หนี้ภาคครัวเรือน ก็กำลังมีปัญหา ถึงขนาด รัฐบาลไบเดน ต้องประกาศยกหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาให้กับลูกหนี้กว่า 7 หมื่นรายทั่วประเทศ คิดเป็นมูลหนี้กว่า 1.74 แสนล้านบาท การก่อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯจะต้องได้รับการเห็นชอบจากฝ่ายการเมือง ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษว่าใครจะเป็นผู้นำสหรัฐฯคนต่อไปในการเริ่มกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้

โดยเฉพาะการกลับมาของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีคะแนนนำโจ ไบเดน ร้อยละ 6 แล้ว ส่วนคู่แข่งคนอื่นๆไม่มีปัญหา ดังนั้นแนวโน้มที่ทรัมป์จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกรอบ จึงมีความเป็นไปได้สูง

โลกกว้างแต่ทางแคบเข้าทุกที.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th