ไทยมีหน้ามีตาบนเวทีโลกในรอบ 12 ปี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าพบปะหารือกับบรรดาบุคคลผู้ทรงอิทธิพลทางธุรกิจ เศรษฐกิจ ทั้งผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำและธนาคารระดับโลก ณ ศูนย์ประชุม Congress Centre เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 นำโดย
นายกรัฐมนตรีและนายเคล้าส์ ชวาป พูดคุยกันถึงโอกาสที่ได้เข้ามาร่วมประชุม WEF ในครั้งนี้ โดยศาสตราจารย์เคล้าส์ ชวาป ได้กล่าวขอบคุณที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในรอบ 12 ปี ที่มาเข้าร่วมการประชุม WEF ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับภาคธุรกิจ ที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการค้า การลงทุน นอกจากนั้น ยังได้มอบกระดิ่งคล้องคอวัว (cowbell) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่ระลึกแก่นายกรัฐมนตรีอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับนายบิล เกตส์ และมีโอกาสนำเสนอศักยภาพของประเทศและความเป็นไปได้ในการเปิด Data Center ของ Microsoft ในไทย โดยอ้างอิงจากที่เคยพูดคุยกับ นายสัตยา นาเดลลา (Satya Nadella ซีอีโอคนปัจจุบันไปแล้วที่ซานฟรานซิสโก พร้อมกล่าวถึงความหวังที่ต้องการการได้บริษัทใหญ่มาลงทุนเปิด Data Center ในประเทศ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Data Center ของภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบกับ Adani group กลุ่มบริษัทลงทุนที่ใหญ่มากของอินเดีย เชี่ยวชาญในการพัฒนาท่าเรือและสนามบิน ซึ่งได้หารือกันในเรื่องการลงทุนในโครงการ Landbridge ที่เชื่อมโยงการขนส่งจากอินเดียไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี นายอดานีกล่าวว่า ให้ความร่วมมือในการที่จะไปพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องขยายเส้นทางการบินจากอินเดียมายังไทย เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า บริษัท Coca Cola คือ หนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเจ้าของหรือมีใบอนุญาตแบรนด์เครื่องดื่มมากกว่า 200 แบรนด์ โดย Coca Cola ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยทางบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายการลงทุนในไทย และไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค Regional Hub เพราะตอนนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมการค้าการลงทุน ที่จะทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต การขนส่งผ่านด่าน ซึ่งมีความพร้อม
นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังได้เสนอแนวความคิด water resilience ที่จะทำให้การคืนน้ำให้กลับสู่ธรรมชาติ มีปริมาณมากกว่าปริมาณน้ำที่ใช้ เพื่อความสมดุลในธรรมชาติ โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมให้ทีมงานของบริษัทฯ เข้ามาทำการศึกษา เพื่อให้ทำโครงการนำร่องในประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพบปะกับผู้บริหาร บริษัท Telenor ถึงศักยภาพของประเทศไทยที่สนับสนุนการยกระดับ Startup และต่อยอดเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญและสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และส่งเสริม Startup ของไทยให้ประสบความสำเร็จระดับ Unicorn มากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพบปะนายโทนี่ แบลร์ ในด้านรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกันของโลก โดยมีความตั้งใจที่จะหาความร่วมมือกับประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human development) ทางนายโทนี่ แบลร์มีความเชื่อมั่นว่า การร่วมมือระหว่างรัฐบาล และองค์กรต่างๆ จะช่วยทำให้ประเทศมีการพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อให้ทางสถาบัน Tony Blair Institute of Global Change ได้เข้ามาศึกษาข้อมูลในประเทศไทย เพื่อพัฒนา และต่อยอดในประเด็นต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพบปะกับนายมาร์คัส ว่าเป็นการพบหารือที่น่าสนใจ เพราะเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถสูง เป็นประธานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของสวีเดนหลายบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่หลากหลายเช่น SAAB และ ABB AstraZeneca พร้อมทั้งมีเครือข่ายการจำหน่ายเครื่องบิน และเรือดำน้ำ โดยนายมาร์คัสยินดีสนับสนุนและพิจารณา การขยายการลงทุนต่างๆ ในไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพบปะกับผู้บริหารทีมนายอาวี เกลเซอร์ ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึงความต้องการที่จะนำทีมฟุตบอลมาเตะอีกครั้ง เพราะที่เมืองไทยมีแฟนบอลจำนวนมาก ซึ่งการสนทนาเป็นแบบกันเอง และได้ถามแทนแฟนคลับของแมนยูฯ ถึงการหานักเตะศูนย์หน้าฝีมือดีมาร่วมสโมสร
กล่าวถึงการหารือกับนายเบอร์นาด เมนซาห์ ถึงแนวทางความร่วมมือ ทั้งการส่งเสริมให้บริษัทไทยไปลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการทำ Roadshow ร่วมกัน เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมของการลงทุนทั้งหมดและนำประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีโลกมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้รับเกียรติจากประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์ ให้เข้าพบเพื่อหารือในเรื่องความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) ที่มีการเจรจากันมานาน โดยที่ทั้งสองประเทศมีความตั้งใจที่จะบรรลุข้อตกลงให้ได้ภายในปีนี้ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอบคุณประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในโครงการ E-bus ที่เป็นความร่วมมือของประเทศในการใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดปริมาณคาร์บอน และขอให้มีความร่วมมือต่อไป
ทั้งนี้ ไทยและ EFTA ซึ่งประกอบด้วยสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ราชรัฐลิกเตนสไตน์ ราชอาณาจักรนอร์เวย์ และสมาพันธรัฐสวิส ได้ประกาศเริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันอีกครั้ง ซึ่งไทยและ EFTA เล็งเห็นถึงความสำคัญของ FTA ระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งตั้งเป้าจะเป็น FTA ที่มีรายละเอียดครอบคลุมในทุกมิติ และจะนำมาซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศไทยและประเทศสมาชิก EFTA
ทั้งนี้นายเศรษฐายังได้เข้าร่วมในกรอบการหารือ Country Strategy Dialogue on Thailand นำเสนอยุทธศาสตร์ของประเทศไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยได้เปิดแล้ว พร้อมได้มีการนำเสนอโครงการ Landbridge และยืนยันเรื่องการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญลำดับต้น ๆ โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาคเอกชนหลากหลายบริษัทที่มาเข้าร่วม
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมกิจกรรม Thailand Landbridge : Connecting ASEAN with the World ซึ่งได้นำเสนอให้กับนักลงทุนและภาคเอกชนชั้นนำ ซึ่งได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในวงกว้างถึงโครงการ Landbridge ซึ่งหลายบริษัทสนใจและประสงค์นัดหมายเพื่อพบปะพูดคุยในรายละเอียดต่อไป
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney